Market

ทำความรู้จัก `เพชรศรีวิชัยฯ` จากธุรกิจโลจิสติกส์ สู่ผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร
3 ก.ค. 2566

ทำความรู้จัก "เพชรศรีวิชัยฯ" จากธุรกิจโลจิสติกส์ สู่ผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร ที่ปรับโครงสร้างองค์กร แต่งตัวเป็นบริษัทมหาชน ก่อนลุยตลาดหุ้นไทย โชว์รายได้ปี 65 กว่า 3.2 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10%

 

บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) หรือ PCE ผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร ให้บริการตั้งแต่การผลิต จัดเก็บ ขนส่ง ตลอดจนเป็นผู้จัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์มทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ซึ่งมีรายได้กว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปีนี้ 

 

คุณนายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) บอกว่า ตอนนี้บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรในอนาคต เพื่อยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล และการเติบโตอย่างยั่งยืน 

 

คุณประกิต เล่าถึงความเป็นมาของ PCE ก่อนจะแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนว่า จุดเริ่มต้นของ PCE มาจากธุรกิจรับจ้างขนส่งน้ำมันมะพร้าว ในปี 2518 ด้วยรถบรรทุกเพียงแค่คันเดียว ในนามบริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด โดยรับจ้างขนส่งน้ำมันมะพร้าวจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี มาส่งที่กรุงเทพฯ 

 

แต่ขากลับต้องตีรถเปล่า จึงคิดหาวิธีสร้างรายได้เพิ่ม ซึ่งตนเองมีปั้มลอยน้ำ ขายน้ำมันดีเซลให้กับเรืองประมงขนาดเล็กในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเห็นว่าราคาน้ำมันดีเซลในกรุงเทพฯ มีราคาถูกกว่าที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประมาณ 40 สตางค์ต่อลิตร จึงซื้อน้ำมันดีเซลจากกรุงเทพฯ กลับมาขายที่สุราษฎร์ธานี เพื่อกินส่วนต่าง ซึ่งหักค่าโสหุ้ยประมาณ 10 สตางค์/ลิตร ก็จะเหลือกำไรลิตรละประมาณ 30 สตางค์/ลิตร

 

คุณประกิต บอกว่า ใน 1 เดือน รถจะวิ่งไปส่งน้ำมันมะพร้าวประมาณ 12 เที่ยว/เดือน สามารถขนน้ำมันดีเซลกลับมาได้ร่วมแสนลิตร/เดือน ลำพังจะขายเองก็คงไม่หมด ซึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีปั้มลอยน้ำอยู่หลายแห่ง ที่ขายให้กับเรือประมงในพื้นที่ จะไปตัดราคา แย่งลูกค้าจากปั้มอื่นๆ ก็คงไม่เกิดประโยชน์ ก็เลยคิดว่า สู้เอาปั้มพวกนั้นแหละมาเป็นลูกค้า น่าจะดีกว่าไปแย่งลูกค้าเขา โดยขายส่งให้กับปั้มต่างๆ ในราคาที่ Win -Win ไม่ต้องเอากำไรเยอะ แต่เน้นปริมาณยอดขายเยอะ ซึ่งธุรกิจก็ไปได้ดี และขยายกิจการไปเรื่อยๆ จนมีรถบรรทุกขนส่งน้ำมันเพิ่มมากขึ้นเป็น 6 คัน ในปีพ.ศ. 2522 

 

จากปัญหาสู่การสร้างธุรกิจ 

 

แต่ปัญหาการขนส่งน้ำมันมะพร้าว คือ จะมีเป็นฤดูกาล ไม่ได้มีตลอดทั้งปี ในขณะที่ยังต้องหาน้ำมันมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้เริ่มเห็นปัญหา โดยเฉพาะช่วงไม่มีน้ำมันมะพร้าว กลายเป็นว่าจะต้องวิ่งรถเปล่าจากสุราษฎร์ธานี เพื่อมารับน้ำมันไปขาย ทำให้สิ้นเปลืองค่าขนส่ง จึงพยายามหาทางแก้ปัญหา  

 

ซึ่งในปี 2526 ธุรกิจน้ำมันปาล์มเริ่มขยาย มีโรงงานทักษิณปาล์ม มาเปิดที่สุราษฎร์ธานี จึงขยับขยายเข้าไปวิ่งรับขนส่งน้ำมันปาล์ม 

 

แม้จะหาทางแก้ปัญหาได้ แต่ก็เจออุปสรรคตามมา เพราะบริษัทรับซื้อน้ำมันปาล์ม จะรับซื้อจากหลายที่ และไม่มีระบบรองรับลูกค้าที่ดีพอ ทำให้เวลารถไปส่งน้ำมันปาล์ม ต้องไปจอดต่อคิวนานถึง 5 วัน ทำให้บริษัทต้องเสียการใช้ทรัพยากรรถ ไม่มีรถไปส่งน้ำมัน  

 

ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหา ด้วยแนวคิดที่ว่าต่อไป คุณจะสั่งน้ำมันกี่คัน เราจะส่งน้ำมันให้เสร็จภายใน 3-4 ชั่วโมง ซึ่งการจะขนส่งที่รวดเร็ว และได้ประสิทธิภาพ ก็คือ การขนส่งทางน้ำ และยังเป็นการขนส่งขนได้ในปริมาณที่เยอะกว่า แถมต้นทุนถูกกว่า

 

เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า เราต้องทำท่าเรือ จึงตั้ง บริษัท พี.เค.มารีน เทรดดิ้ง จำกัด ในปี 2533 ให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ ซึ่งขณะนั้นเรามีท่าอยู่แล้วที่บางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นท่าคลังน้ำมันดีเซล จึงได้เพิ่มคลังน้ำมันปาล์มขึ้นมาอีก 2 ใบที่บางปะกง แยกเป็นคลังน้ำมันดีเซล และคลังน้ำมันปาล์ม และทำอีก 2 ใบไว้รองรับที่ท่าเรือที่สุราษฎร์ธานี 

 

 

หลังทำคลังน้ำมันเสร็จ ได้ซื้อเรือบรรทุกน้ำมัน จึงตั้ง บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด ในปี 2535 เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ เริ่มต้นจากการให้บริการขนส่งสินค้าเหลว น้ำมันปาล์มดิบ จากท่าเรือสุราษฎธานี ไปยังท่าเรือบางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

 

แต่ก็ยังมีปัญหาตามมาให้ต้องแก้ไขอีก เพราะเรือบรรทุกน้ำมันวิ่งได้ 1,500 ตัน/เที่ยว  1 เดือนวิ่งได้เป็น 10 เที่ยวหรือหมื่นกว่าตัน แต่ลูกค้าหลักเราส่งน้ำมันปาล์มให้ แค่ 500 ตัน/เที่ยวเท่านั้น

 

 

ก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า ต้องซื้อน้ำมันปาล์มจากลูกค้าอีก 1,000 ตัน เพื่อบรรทุกให้ได้เต็มลำ 1,500 ตัน/เที่ยว 

 

จึงเปิดบริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2538 เพื่อทำธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ รับซื้อน้ำมันปาล์ม 

 

โดยเอาส่วนต่างต้นทุนค่าขนส่งทางเรือที่ถูกกว่าขนส่งทางรถ มาเป็นตัวรองราคากับคู่ค้า เช่น ต้นทุนค่าขนส่งทางเรือถูกกว่ากัน 1 บาท 

 

 

ผู้ขายน้ำมันปาล์ม ขายให้กับผู้ซื้อที่ราคากิโลละ 30 บาท หักต้นทุนค่าขนส่งทางรถกิโลละ 1 บาท ก็จะเหลือราคากิโลละ 29 บาท เราก็ไปต่อรองขอซื้อจากผู้ขายในราคากิโลละ 29.10 -29.20 บาท คนขายก็มีความรู้สึกว่าขายได้ในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม
 

และเราก็ไปเจรจากับผู้ซื้อปลายทาง จากที่เคยซื้อที่ราคา 30 บาท ถ้าซื้อจากเราคิดราคาแค่ 29.30 -29.90 บาท ซึ่งผู้ซื้อก็ซื้อได้ถูกลง

 

คือ เอาราคาส่วนต่างต้นทุนค่าขนส่งมาเล่น 

 

เมื่อผู้ขายน้ำมันปาล์ม รู้สึกว่าสะดวกดี เพราะขายด้วยน้ำหนักต้นทาง ในราคาปลายทางราคาที่แพงกว่า ผู้ซื้อก็รู้สึกว่า ซื้อได้ในราคาที่ถูกลง ต่างฝ่ายต่างก็ WIN -WIN-WIN ก็เลยทำให้เรามีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทำให้เราเริ่มโต และเริ่มทำธุรกิจทางเรือมากขึ้น 

 

ในขณะเดียวกันปาล์มเริ่มมีการบริโภคมากขึ้น เกษตรกรมีพื้นที่เพาะปลูกปาล์มมากขึ้น ผลผลิตจึงมากขึ้นตามไปด้วย จากอดีตผลผลิตปาล์มปีละ 4-5 แสนตัน จนปัจจุบันมาเป็น 7-8 แสนตัน 

 

ในปี 2538 เราจึงตั้งบริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจซื้อ-ขายน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งบางช่วงผลผลิตเยอะ ราคาก็จะถูก บางช่วงผลผลิตน้อย ราคาก็แพง ซึ่งสมัยก่อนบางครั้ง มีการซื้อขายล่วงกันหน้าบ้าง แต่ปรากฏว่าพอราคาขึ้น ผู้ขายไม่ส่ง และพอราคาลง ผู้ซื้อก็ไม่รับ

 

เราก็เกิดความคิด จะทำอย่างไรราคามันนิ่ง โดยมองแนวโน้มราคาในอนาคต หากเห็นว่าแนวโน้มราคาลง เราก็ซื้อเอามาเก็บไว้ที่คลัง ซึ่งเราทำอยู่เจ้าเดียวทำให้ปัจจุบัน ผู้ซื้ออยากซื้อ ก็ติดต่อมาที่เรา ส่วนคนขายอยากจาย ก็มาขายให้กับเรา จนกลายเป็นคนกลางไปโดยปริยาย และทำให้เรามีสต็อกน้ำมันปาล์มค่อนเยอะ

 

ตอนนั้นผลผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศมีประมาณ 7-8 แสนตัน แต่การบริโภคในประเทศเพียง 4 แสนตัน 3 แสนตันที่เหลือ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือของ บ.ปาโก้เทรดดิ้ง ถ้าราคาช่วงนั้นถูก ปาโก้เทรดดิ้ง ก็จะเป็นผู้ส่งออก เพื่อให้สต็อกใกล้เคียงกับปริมาณการใช้ในประเทศ 

 

ต่อมามีการใช้น้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซล หรือ "ไบโอดีเซล" โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 นำมาเป็นส่วนผสม เพื่อใช้กับรถ และเครื่องจักรที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลใช้ในวัง และในปี 2548-2549 เริ่มมีการพูดถึงพลังงานทดแทน โดยการใช้น้ำมัน "ไบโอดีเซล" กันมากขึ้น และรัฐเริ่มสนับสนุนผลักดันเรื่องนี้

 

เราจึงมีความคิดว่า ถ้าเกิดผลผลิตน้ำมันปาล์ม ส่วนที่เกินจากการบริโภคในประเทศ 3 แสนตัน ถูกนำไปเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซล มาเก็ตแชร์ในการส่งออกผลผลิตน้ำมันปาล์มของเราจะลดลง แล้วจะทำอย่างไร เพื่อรักษามาเก็ตแชร์ของเราไว้ได้

 

ประกอบกับช่วงนั้นราคาน้ำมันดีเซล ต่างจากราคาน้ำมันปาล์มถึง 9 บาท ก็เลยคิดตั้งโรงงานผลิตและแปรรูปน้ำมันปาล์ม โดยเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 จึงตั้งบริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด เพื่อ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค 

 

 

ลงทุนสร้างโรงงงานผลิตและแปรรูปน้ำมันปาล์ม ด้วยเงินลงทุน 360 ล้านบาท ขนาดกำลังผลิต 400 ตัน แบ่งเป็นผลิตน้ำมันไบโอดีเซล 200 ตัน และผลิตน้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค  อีก 200 ตัน 

 

หลังจากนั้น รัฐบาลมีนโยบายเรื่องพลังงานทดแทนออกมา ทำให้ให้ปาล์มเริ่มขยายตัว และราคาน้ำมันปาล์ม ก็เริ่มอิงกับน้ำมันดีเซล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

จากอดีตเกษตรกรมีพื้นที่เพราะปลูกปาล์มประมาณ 6-7 แสนไร่ มีผลผลิตน้ำมันปาล์ม 3 แสนตัน/ปี ปัจจุบันมีพื้นที่เพราะปลูก 6 ล้านไร่ ผลผลิตประมาณ 3 ล้านตัน น้ำมันดีเซลเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ใช้ประมาณ 50 ล้านลิตร/วัน  ปัจจุบันวันละประมาณ 65 ล้านลิตร มีสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตขั้นต่ำ 3.5 แสนตัน/ปี

 

นี่คือ ที่มาของบริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งปัจจุบันโครงสร้างของบริษัทประกอบด้วย   

– บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค ภายใต้แบรนด์ "รินทิพย์" โดยโรงงานรีไฟท์น้ำมันปาล์ม สามารถผลิตได้ 1,800 ตัน/วัน แบ่งเป็นน้ำมันปาล์มสำหรับบริโภคกึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปได้วันละ 1,000 ตัน และสำหรับผลิตเป็น B100 เพื่อเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลได้อีกวันละ 1.2 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนโรงงานสกัดผลปาล์มที่รับซื้อจากเกษตรกรสามารถผลิตได้อีก 1,800 ตันต่อวัน /หรือปีละไม่ต่ำกว่า 500,000 ตัน 

– บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม เมล็ดในปาล์ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปาล์ม ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีปริมาณและมูลค่าการซื้อขายและส่งออกเป็นอันดับต้นๆของประเทศ 

– บริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกภายในประเทศซึ่งมีรถให้บริการมากกว่า 150 คัน และขนส่งส่งได้ปีละไม่ต่ำกว่า 800,000 ตัน และขนส่งสินค้าแห้งอื่นๆ 

– บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีขนาดเรือ 2,000 – 2,500 ตัน ซึ่งสามารถขนส่งได้ทั้งของแห้งและของเหลว รวม 15 ลำ โดยขนส่งสินค้าได้ปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน 

– บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการท่าเทียบเรือ มีพื้นที่ให้บริการกว่า 100,000 ตร.ม. และมีคลังน้ำมันที่สามารถรองรับได้ 240,000 ตัน โดยมีท่าเทียบเรือในจังหวัดสุราษฏร์ธานีและฉะเชิงเทรา 

 

คุณประกิต บอกว่า สำหรับเหตุผลของการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินไปลงทุนขยายธุรกิจ สร้างโรงงานสกัดผลปาล์ม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท เพื่อยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากลและการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งนับเป็นอีกก้าวที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อม และศักยภาพของ PCE ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรในอนาคต 

 

โดยปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จาปี 2565 ที่มีรายได้รวม 32,677 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 214 ล้านบาท โดยจะเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ ให้มีมาตรฐานเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และขยายฐานลูกค้าในทุกกลุ่ม

 

ทั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้งบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อยื่นไฟลิ่ง ต่อสำนักงานก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป (IPO)ส่วนจำนวนหุ้น และราคาเสนอขาย จะเป็นจำนวนเท่าใด ราคาเสนอขายเท่าไหร่นั้น ต้องรอหลังได้รับการอนุมัติจากก.ล.ต.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 
 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com