B เพิ่มทุน 1.2 พันล้านบาท บรรลุเป้าหมาย  ผู้ถือหุ้นแห่ใช้สิทธิ RO เกินสิทธิ   ตอกย้ำความเชื่อมั่น  พร้อมเดินหน้าลุยธุรกิจเต็มสูบ  เผยวัตถุประสงค์หลักใช้เงินเพิ่มทุน 570 ล้านบาท  ซื้อหุ้นเดอะเมกะวัตต์เพิ่ม   ดันรายได้กลุ่ม B เติบโตยั่งยืน

ดร.ปัญญา  บุญญาภิวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน)หรือ B  เปิดเผยว่า  การเพิ่มทุนของบริษัทได้ประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมาย สะท้อนให้เห็นว่าผู้ถือหุ้นมีความไว้วางใจและมีความเชื่อมั่นต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม B  โดยผู้ถือหุ้นได้มีการใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทเกินสิทธิที่ได้รับ จากที่บริษัทประกาศเพิ่มทุนเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม(Right Offering)  หรือ RO จำนวน  20,761.5 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 1,245.6 ล้านบาท  ซึ่งปรากฏว่ามีผู้ถือหุ้นใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเข้ามาเกินสิทธิที่ได้รับ ส่งผลให้การเพิ่มทุนของบริษัทในครั้งนี้บรรลุเป้าหมาย  โดยได้รับเงินจากการเพิ่มทุน มูลค่ารวม 1,245.6 ล้านบาท

“บริษัทต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้น ที่ให้ความเชื่อมั่นต่อบริษัท  จากนี้ไปบริษัทก็จะเดินหน้าขยายธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง  โดยวัตถุประสงค์การเพิ่มทุนในครั้งนี้ เงินเพิ่มทุนหลักๆสัดส่วน  47.25%  เพื่อซื้อหุ้นของบริษัท เดอะ เมกะวัตต์ จำกัด  มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 570.4 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ ส่งผลให้ B ถือหุ้นใน เดอะ เมกะวัตต์สัดส่วน 70.16%    ส่วนเงินเพิ่มทุนที่เหลือใช้เพื่อขยายกิจการและลงทุนในอนาคต” ดร.ปัญญากล่าว

ทั้งนี้ B ได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวนไม่เกิน 20,761. 5 ล้านหุ้น  มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.68 บาท เพื่อเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละราย (Right Offering)  หรือ RO ในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 6 หุ้นสามัญเพิ่มทุน  ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.06 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 1,245.6 ล้านบาท  

ที่ผ่านมา กลุ่ม B  มีการปรับโครงสร้างธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับธุรกิจในกลุ่มให้มีความแข็งแกร่ง  และการตัดสินใจลงทุนเพิ่มใน เดอะ เมกะวัตต์  เพราะเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์โลกและอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของกลุ่ม B ที่มุ่งเน้นลงทุนพลังงานสีเขียวและสาธารณูปโภค (Green Energy and Utilities ) นำมาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจในกลุ่ม B  โดยปี 2565 บริษัทเดอะเมกะวัตต์ มีกำไรสุทธิ 132.12 ล้านบาท และในปี 2566  ประมาณการว่าจะมีรายได้เติบโต 25%