เลขาธิการ คปภ. ผนึก "ชัชชาติ"ผู้ว่าฯ กทม. ปลุกพลังนักบิดมอเตอร์ไซด์ทำประกันภัย พ.ร.บ.พร้อมบูรณาการความร่วมมือด้านประกันภัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนกทม. ด้วยระบบประกันภัย ก่อนขยายกิจกรรมรณรงค์เชิงรุกในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) และ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว “โครงการรณรงค์เชิงรุกในพื้นที่นำร่อง เพื่อส่งเสริมการทำประกันภัย พ.ร.บ. อย่างยั่งยืน” ภายใต้ชื่องาน “คปภ. ปลุกพลังนักบิด เปิดโลกใหม่ให้คุ้มครองด้วยประกันภัย พ.ร.บ.” โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. ถือเป็นประกันภัยภาคบังคับที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถทุกคันทุกประเภท ต้องจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. เพื่อเป็นหลักประกันให้กับผู้ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รวมถึงคนเดินเท้า ถ้ารถทำประกันภัย พ.ร.บ. นอกจากจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิดแล้ว ยังมีสิทธิได้รับความคุ้มครองสูงสุดตามกรมธรรม์ประกันภัย กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 500,000 บาทต่อคน กรณีบาดเจ็บสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน กรณีสูญเสียอวัยวะ 200,000-500,000 บาทต่อคน กรณีทุพพลภาพอย่างถาวร 300,000 บาทต่อคน และกรณีเข้ารักษาในสถานพยาบาลในฐานะคนไข้ในจะได้รับค่าชดเชยรายวัน 200 บาทต่อวัน รวมกันไม่เกิน 20 วัน
จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า มีการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์เพียงร้อยละ 65 ของรถจักรยานยนต์จดทะเบียนสะสม เมื่อเกิดเหตุจากรถที่ไม่จัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ผู้ประสบภัยจากรถจะได้รับเพียงค่าเสียหายเบื้องต้น จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย และจากสถิติในปี 2564 มีผู้ประสบภัยจากรถที่มาขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย จำนวน 9,112 ราย คิดเป็นเงินจำนวน 180 ล้านบาท ซึ่งจากสถิติพบว่า 70% เป็นผู้ประสบภัยจากรถจักรยานยนต์
จากตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีรถจักรยานยนต์ที่อยู่นอกระบบการประกันภัย พ.ร.บ. อีกเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่ายังมีเจ้าของรถจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจ และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีประกันภัย พ.ร.บ. เพื่อนำไปเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจากการใช้รถใช้ถนน
ทั้งนี้ เจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถทุกคันมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องจัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. หากฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการประกันภัย พ.ร.บ. จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท หรือหากเป็นผู้ที่ใช้รถที่ไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ดังนั้น หากเป็นทั้งเจ้าของรถที่ไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. และได้นำรถคันนั้นออกไปใช้เองจะมีความผิดทั้ง 2 ข้อหา โดยมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
สำนักงาน คปภ.ในฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มีภารกิจในการกำกับดูแล พัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีความเข้มแข็ง และคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย จึงได้จัดทำ “โครงการรณรงค์เชิงรุกในพื้นที่นำร่อง เพื่อส่งเสริมการทำประกันภัย พ.ร.บ. อย่างยั่งยืน” สร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัย พ.ร.บ. จึงร่วมมือกับ กทม. เพื่อปลุกพลังผู้ขับขี่ในพื้นที่กทม. เป็นแห่งแรก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่ากทม. ในการสร้างกทม. ให้เป็นเมืองที่มีความปลอดภัยในการใช้ชีวิตสำหรับประชาชน รวมทั้งเป็นไปตามนโยบาย “ลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์” (Zero Accident) ของกทม.และรัฐบาล
โดยมุ่งเน้นและส่งเสริมพี่น้องประชาชนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในกทม.ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัย พ.ร.บ. เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีผู้ใช้รถจักรยานยนต์สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ และจากข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน ณ 10 กันยายน 2565 พบว่า กทม.มีประชาชนที่ได้รับอุบัติเหตุทางถนนสูง โดยมีผู้บาดเจ็บ 77,093 ราย เสียชีวิต 657 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.50 ที่เกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ โดยที่มีสัดส่วนการทำประกันภัย พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์เพียง 70%
หลังจัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการที่กทม.แล้ว สำนักงาน คปภ. จะเดินหน้ารุกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายที่นิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชาชนที่ใช้รถจักรยานยนต์ในการเดินทาง
ด้าน ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม. เห็นด้วยกับแนวคิดของสำนักงาน คปภ. เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งจำเป็นต่อการเดินทางของคน กทม. เป็นจำนวนมากแต่ก็มีความเสี่ยง ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วไม่ได้ทำประกันภัยก็จะกระทบกับชีวิตครอบครัว ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สามารถเจาะผ่านผู้นำชุมชนให้ช่วยรณรงค์ภายในชุมชน หรือจะเป็นกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้าง กลุ่มไรเดอร์ GRAB ซึ่ง กทม. สามารถช่วยรณรงค์ได้ทันที โดยเน้นให้ความร่วมมือรณรงค์ประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเต็มที่ โดยรณรงค์เป็นแพ็กเกจ ทั้งเรื่องอุบัติเหตุในการขับขี่ การสวมหมวกนิรภัย และให้ทำประกันภัย พ.ร.บ. ควบคู่กันไปด้วย
ในโอกาสนี้ กทม. ขอขอบคุณสำนักงาน คปภ. ที่มอบกรมธรรม์ พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์ จำนวน 500 ฉบับ ให้แก่พนักงานและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของ กทม.ให้ได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันภัย และค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัย พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์ ตกปีละกว่า 300 บาท หรือเก็บเงินวันละบาทเท่านั้น จำเป็นจะต้องสื่อสารในเรื่องนี้ไปยังกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น แต่จะต้องทำเป็นแพ็กเกจ ทั้งเรื่องการรณรงค์ทำประกันภัย พ.ร.บ. ควบคู่ไปกับการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย การรณรงค์ไม่ขับรถเร็ว การรณรงค์รักษากฎจราจร เป็นต้น
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ สำนักงาน คปภ. และกรุงเทพมหานคร จะต่อยอดการบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดทั้งในการรณรงค์ให้ชาวกทม.ทำประกันภัย พ.ร.บ. และร่วมมือในการนำระบบประกันภัยมาช่วยบริหารความเสี่ยง ตลอดจนช่วยให้ชาวกทม. และบุคลากรในสังกัดกทม. สามารถเข้าถึงและได้รับความเป็นธรรมในเรื่องประกันภัยอย่างเต็มที่
“ทั้งนี้ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัย หรือต้องการข้อมูลด้านประกันภัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnect” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย