เอไอเอ เดินหน้าเติบโตไม่หยุด เผยครึ่งปีแรก ปี 66 มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ37 จากการเติบโตของทุกส่วนงาน กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษีต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ในขณะที่เงินปันผลระหว่างกาลต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5
กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “บริษัท” รหัสหลักทรัพย์: 1299) ประกาศผลประกอบการ 6 เดือนที่ผ่านมา สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566
อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่:
ผลประกอบการของธุรกิจใหม่
รายได้และทุน
เงินปันผลระหว่างกาลและโครงการซื้อหุ้นคืน
นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า. "เอไอเอได้แสดงผลงานอันยอดเยี่ยมในการสร้างธุรกิจใหม่ โดยมีมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 คิดเป็นกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 เรามีการรายงานตัวเลขทางธุรกิจที่เติบโตในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) กำไรจากการดำเนินงานบนมูลค่าพื้นฐานของกิจการ (EV operating profit) ส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) และส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity)
“เรามองเห็นการกลับมาของธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนในครึ่งปีแรกของปี 2566 นอกเหนือจากนั้น ส่วนงานที่รายงานมา รวมถึงช่องทางการขายทุกช่องทาง สามารถสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจากผลกระทบของสถานการณ์โรคระบาด ตลอดจนจุดแข็งของแพลตฟอร์มการขายของเอไอเอที่เหนือกว่าคู่แข่งในทั่วภูมิภาคเอเชีย ได้มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการกลับมาของการสร้างธุรกิจใหม่ที่แข็งแกร่งอย่างมาก รวมไปจนถึงการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักจากเอไอเอ ประเทศจีน การรวมกลุ่มธุรกิจอาเซียน และ ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต ตลอดจนการร่วมทุนของเราในอินเดีย"
ในขณะเดียวกัน เอไอเอ ฮ่องกง ยังมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับในครึ่งปีแรกของปี 2565 โดยมาจากนักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่เป็นหลัก
“การเติบโตของพอร์ตโฟลิโอคุณภาพสูง รวมถึงความมีวินัยทางการเงินของเรา ทำให้กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) และส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน(UFSG) เพิ่มสูงขึ้น โดยเราได้มอบผลตอบแทนมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้แก่ผู้ถือหุ้นในครึ่งแรกของปี 2023 ผ่านเงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืนที่กำลังดำเนินอยู่"
ซึ่งได้สร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นและเป็นประโยชน์อย่างมากในส่วนของกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) และส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) ต่อหุ้น สำหรับส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 70.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ในครึ่งแรกของปี 2566 ก่อนหักเงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน โดยรวมนั้น สถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทเอไอเอยังคงแข็งแกร่งมาก ด้วยเงินกองทุนส่วนเกิน (Free surplus) จำนวน 16.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ Group LCSM ของกลุ่มบริษัท ครอบคลุมอัตราส่วน(2) ที่ร้อยละ 260 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2023
"คณะผู้บริหารได้ประกาศการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เป็นมูลค่า 42.29 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น โดยเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืนและก้าวหน้าของเอไอเอ ซึ่งช่วยให้มีโอกาสเติบโตในอนาคตและเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินของกลุ่มบริษัท"
ช่องทางการขายของเอไอเอที่เหนือกว่าคู่แข่งถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ รวมทั้งการที่เอไอเอได้นำเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์มาใช้อย่างกว้างขวางทั่วทั้งกลุ่มบริษัทตลอด 3 ปีที่ผ่านมานั้น ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจรวมถึงช่วยพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของตัวแทนและช่องทางพันธมิตรธุรกิจในการขายอีกด้วย
มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) จากช่องทางพันธมิตรเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 62 ซึ่งได้รับการขับเคลื่อนจากพันธมิตรธนาคารและช่องทางของที่ปรึกษาด้านประกันชีวิตและการเงิน (IFA) ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของเอไอเอกับธนาคารชั้นนำทำให้เพิ่มมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ร้อยละ 38 โดยได้รับแรงหนุนจากผลงานที่ยอดเยี่ยมของประเทศจีน ฮ่องกง ไทย สิงคโปร์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ นอกจากนั้น เรายังคงทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรธนาคารต่าง ๆ เพื่อพัฒนาผลผลิตในหมู่พนักงานขายประกัน ผ่านทางการฝึกอบรมและเสริมความสามารถในด้านดิจิทัล"
"เอไอเอ ประเทศจีน ได้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งด้วยการเพิ่มขึ้นของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ถึงร้อยละ 29 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราการแพร่ระบาดของโควิด 19 ลดลง และกิจกรรมต่าง ๆ เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น เราได้เห็นความต้องการอย่างมากในผลิตภัณฑ์ออมเงินระยะยาว รวมไปถึงผลิตภัณฑ์บำนาญที่ลดหย่อนภาษีซึ่งเราเพิ่งเปิดตัว ทั้งนี้เราพบว่าผลิตภัณฑ์ประกันที่มอบความคุ้มครองแบบดั้งเดิมยังคงเป็นสินค้าเรือธงในหมู่ลูกค้าของเรา ซึ่งทั้งหมดนับเป็นส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์ประกันที่ได้ขายไปในครึ่งแรกของปี 2566 โดยรวมแล้วมูลค่าธุรกิจใหม่(VONB) เติบโตร้อยละ 14 ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2566 สำหรับเอไอเอ ประเทศจีน
“มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของเอไอเอ ฮ่องกง เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วงครึ่งแรกของปี2566 โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตเป็นเลขสองหลักจากกลุ่มลูกค้าในประเทศของเราและการเพิ่มขึ้นอย่างมากในธุรกิจนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ (MCV) หลังจากการกลับมาเริ่มต้นการเดินทางตามปกติอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ตัวแทนในพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเรายังคงเป็นผู้นำตลาดที่ชัดเจนและเรามีจำนวนตัวแทนที่ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักอย่างมีนัยสำคัญ มูลค่าธุรกิจใหม่มาจากช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเรา คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมจากช่องทางการขายประกันผ่านธนาคาร และเรากลับมาครองตำแหน่งตลาดอันดับหนึ่งในช่องทางที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ด้วยการกลับมาของธุรกิจนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่
เอไอเอ ประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ร้อยละ 28 ซึ่งยังคงรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจใหม่ได้อย่างแข็งแกร่งจากช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว ด้วยการมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่องในการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพส่งผลให้จำนวนตัวแทนใหม่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งส่งผลให้มูลค่าธุรกิจใหม่ของตัวแทนเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของเรากับธนาคารกรุงเทพส่งผลให้มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตอย่างยอดเยี่ยม โดยได้รับแรงหนุนจากประสิทธิภาพการทำงานของผู้ขายประกันภัยที่สูงขึ้น