นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยถึงผลงานในปี 2565 และทิศทางธุรกิจในปี 2566 นี้ ว่า แม้ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐก่ิจโลกผันผวนก็ตาม ดอกเบี้ยยังขึ้น แต่เราก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง ทิศทางในปีนี้ของเรายังน้นแบบประกันสุขภาพโรคร้ายแรง และความคุ้มครองเหมือนปีที่แล้ว ซึ่งผลดำเนินงานในปี 2565 ออกมาดีจากการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่ที่ 10% และเบี้ยประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงที่ 7% ส่วนธุรกิจในภูมิภาค CLMV ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นต่อเนื่อง ทั้งๆที่เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายที่หลากหลาย เศรษฐกิจโลกเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ภาวะเศรษฐกิจไทยเพิ่งที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว หลังจากการระบาดอย่างรุนแรงของ COVID-19 มาหลายปี
ในด้านความแข็งแกร่งและด้านเสถียรภาพทางด้านการเงิน บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) จาก S&P Global Ratings อยู่ที่ระดับ BBB+ แนวโน้มมีเสถียรภาพ และจาก Fitch Ratings อยู่ที่ระดับ A- แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating) ที่ AAA(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุด และยังมีความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยสะท้อนจากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนสูงกว่า 300% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรง ตามเกณฑ์ที่ 140%
"ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในส่วนของกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่ยังไม่มีผลต่อการต่ออายุกรมธรรม์ของลูกค้าอย่างชัดเจน ส่วนประกันยูนิตลิงก์ เรามีทั้งแบบสะสมทรัพย์และแบบคุ้มครอง ซึ่งปีที่แล้วมีลูกค้าประกันยูนิตลิงค์จำนวนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากใช้ซื้อควบกับประกันสุขภาพ ในปีนี้ เรายังน้นแบบประกันสุขภาพโรคร้ายแรง และความคุ้มครองเหมือนเดิม"
นายสาระ กล่าวว่า ในปี 2566 นี้ ถือเป็นปีสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิตครบรอบ 72 ปี ได้กำหนดทิศทางการดำเนินงานเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ ผ่านกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง...ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต และปักธงเป้าหมายเป็นอันดับหนึ่งในฐานะคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยบริษัทฯ มุ่งดำเนินงานผ่าน 4 แกนสำคัญ ได้แก่ บุคลากร พาร์ทเนอร์ (Preferred Partner) ลูกค้า และ นอกเหนือจากลูกค้า (Beyond Our Customers)
บริษัทฯ ยังเน้นการร่วมมือกับบริษัทฯ ในเครือต่างๆ ทั้งการเป็นพันธมิตรกับสตาร์ทอัพด้าน Insurtech และ Healthtech การนำเสนอและเปรียบเทียบประกันภัยออนไลน์ และการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างครบวงจร เพื่อร่วมกันนำเสนอทางเลือกที่เป็นมากกว่าประกันชีวิตแก่ทั้งลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตและบุคคลทั่วไป พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังประกาศความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามนโยบายและเป้าหมายด้าน ESG อย่างครบถ้วนทุกมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล และเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความสุขอย่างยั่งยืนกับทั้งบริษัทและสังคมโดยรวมต่อไป
นายธนัญชัย สัจจะปรเมษฐ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมประมาณ 600,000 ล้านบาท โดยสินทรัพย์ส่วนใหญ่ราว 95% เป็นเบี้ยประกันของลูกค้า ซึ่งบริษัทได้บริหารพอร์ตในส่วนนี้ผ่านการลงทุนในตราสารต่างๆ นำโดยกการลงทุนในตราสารหนี้ในและต่างประเทศสัดส่วน 80% ในส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นในและต่างประเทศ กองอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนประมาณ 13-14% ส่วนที่เหลืออีก 6-7% เป็นการลงทุนในอาคารเมืองไทยประกันชีวิตและ 66 Tower ซึ่งมีแผนจะเปิดให้เป็นพื้นที่เช่าสร้างรายได้ต่อไป
สำหรับผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน ในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 3-4% ซึ่งปีที่แล้วเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน มีทั้งอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) ผันผวนหลังธนาคารกลางสหรัฐและหลายๆแห่ง ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็ว ส่วนตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าพอร์ตลดลงเช่นกัน ในปีนี้ คาดว่าจะสามารถบริหารผลตอบแทนได้ใกล้เคียงปีที่แล้วหรืออยู่ที่ระดับ 3-4% โดยส่วนของหุ้นมีแผนจะลงทุนในกลุ่ม SET 100
นายสาระ กล่าวทิ้งท้ายว่า ล่าสุดเมืองไทยประกันชีวิต ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเข้าถึงและตอบโจทย์ ทุกความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มให้มากยิ่งขึ้น เพราะทุกคนมีความต้องการที่แตกต่าง “YOUnique Health เมืองไทยประกันชีวิตเข้าใจทุกความต้องการในแบบคุณ” อีกทั้งได้เปิดตัวแคมเปญ “A True Story” เพื่อสะท้อนถึงความสำคัญของสุขภาพ และถ่ายทอดเรื่องราวด้านความคุ้มครองสุขภาพจากเมืองไทยประกันชีวิต ที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากลูกค้า ด้วยการเปิดมุมมองและประสบการณ์จากลูกค้าตัวจริง ถึงการให้ความสำคัญต่อการเลือกซื้อความคุ้มครองสุขภาพในยุค ที่ความเจ็บป่วยใกล้ตัวกว่าที่คิด และโรคอุบัติใหม่ที่มาได้แบบไม่ทันตั้งตัว