Crypto

เมื่อลงทุนคริปโทฯ ในปีเสือ ไม่ง่ายเสียแล้ว หลากปัจจัยรุมเร้า…Bitcoin อาจร่วงต่อ
27 ม.ค. 2565

ปีนี้บรรยากาศการลงทุนทุกอย่างดูชุลมุนกันตั้งแต่ต้นปีเสือ เล่นเอาบรรดาเหล่านักเทรดเหรียญมือทองเหนื่อยไปตามๆ กัน เรียกว่าทุกปัญหามารัวๆ แบบไม่ให้ตั้งตัว!

 

หากย้อนดูช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นที่เหรียญคริปโทเคอร์เรนซีทั้งหลายทำจุดสูงสุด เมื่อราววันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ยังไม่ทันครบ 3 เดือนดีนัก วันนี้ราคาร่วงกันไป 50-60% แล้ว ตอกย้ำว่าการลงทุนในโลกคริปโทฯ ผันผวนเพียงใด!

 

ปัจจัยรุมเร้าเริ่มส่งสัญญาณตั้งแต่ปีก่อน และนับวันก็ใกล้ความจริงเข้ามาเต็มทีแล้ว นั่นคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ นักวิเคราะห์คาดว่าปีนี้อย่างน้อยจะปรับขึ้นถึง 4 ครั้ง และใน 2 ปีนี้ (65-66) จะปรับขึ้นรวมกันถึง 7 ครั้ง

 

ตามถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด หลังเสร็จสิ้นการประชุมธนาคารกลาง ซึ่งใช้เวลาถึง 2 วันระหว่างวันที่ 25-26 มกราคมที่ผ่านมา สรุปว่าการขึ้นดอกเบี้ยระหว่าง 0-0.25% จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม นี้

 

ต่อด้วยการจบมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่จะคอยอัดฉีดสภาพคล่องส่วนนี้เข้าสู่ระบบประมาณ 3 0,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน โครงการ QE  นี้ก็จะจบภายในเดือนมีนาคมนี้เช่นเดียวกัน

 

จากนั้นจะพิจารณาการลดงบดุลลง โดยไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมจำนวนครั้งของการลดอัตราดอกเบี้ยและการเริ่มลดวงเงินงบดุล

ลงเมื่อไหร่ และจำนวนเท่าใด

 

เมื่อสิ้นสุดการให้สัมภาษณ์ของนายเจอโรม พาวเวล ทั้งดัชนีดาวโจนส์ Nasdaq และเหรียญคริปโทฯ เริ่มดิ่งทันที เพราะหากสภาพคล่องหายไป หมายถึงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจะหายไปด้วย

 

นอกจากปัจจัยลบเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการลดลงของสภาพคล่องแล้วปัญหาความเข้มงวดในการกำกับดูของธนาคารกลางในแต่ละประเทศที่เพ่งเล็งมายังการลงทุนในคริปโทฯในปีนี้จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นมาก!

 

เริ่มต้นจากประเทศจีน ที่ประกาศชัดเจนตั้งแต่ 2564 ห้ามขุดเหมืองบิทคอยน์ รวมทั้งการใช้เงินคริปโทฯ เพื่อแทนเงินตราในประเทศ

 

และเมื่อต้นปี 2565 รัสเชียก็ประกาศชัดว่า ห้ามขุดเหมืองบิทคอยน์ และใช้เงินคริปโทแทนเงินตรา ออกกฏออกมาในลักษณะเดียวกัน

 

ล่าสุด ประเทศไทย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง  อยู่ระหว่างสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการนำคริปโทฯสำหรับชำระค่าสินค้าและบริการได้ โดยให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถแสดงความคิดเห็นเข้ามาภายในวันที่  8 กุมภาพันธ์ 65 นี้

 

ยังไม่หมด! อีกประเด็นที่ถกเถียงกันข้ามปียังไม่จบคือ “การจัดเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขาย” ที่เหล่าบรรดาเทรดเดอร์

 

มองว่าม “ไม่แฟร์”  ที่กรมสรรพากรจะเก็บภาษีจากเฉพาะรายการที่มีกำไร ส่วนรายการขาดทุนไม่สามารถนำมาหักลบได้ รวมทั้งการจัดเก็บภาษียังดูซ้ำซ้อนเพราะจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว และยังมีเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย และจะนำรวมใน รายได้ประจำปีอีกหรือไม่ ซึ่งคงรอการประกาศที่ชัดเจนจากกรมสรรพากรอีกครั้ง คาดว่าจะประกาศภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้

 

เรียกว่าเจอแต่ละเรื่องหนักๆ แทบจะถอดใจกันเลยทีเดียว!

 

ปีนี้การลงทุนมัน “ไม่ง่าย” เหมือนปีที่แล้ว ใครยังถืออยู่อาจต้องลุ้นกันยาวๆ และไม่รู้สถานการณ์ข้างหน้าเป็นอย่างไร

 

นอกจากนี้ มาร์ค ซัคเกอร์เบริ์ก ผู้นำองค์กร Meta  หรือ Facebook ก็ประกาศล้มเลิกการสร้างเหรียญ Libra หรือชื่อใหม่ว่า Diem ซะแล้ว .. ดูยิ่งบั่นทอนกำลังใจของคนเล่นคริปโทฯไม่ใช่น้อย

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสถาบันอย่าง Micro Strategy ยังคงยืนยันเหนียวแน่นว่าจะไม่ขาย Bitcoin

 

ส่วนธนาคารกลางของประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่ประกาศยอมรับ Bitcoin สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แม้ล่าสุดจะถูกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เตือนว่าไม่เหมาะสมและจะสร้างความผันผวนให้กับเสถียรภาพทางการเงินโลกอีกด้วย

 

ในขณะที่ธนาคารกลางต่างๆ เตรียมการกันอย่างคึกคักในการออก Stable Coin เพื่อเป็นเงินตราดิจิทัล ใช้เป็นสื่อกลาง แลกเปลี่ยน ในยุค ดิจิทัลอิโคโนมี่!

 

เอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ราคา Bitcoin ในปีนี้ยังมีโอกาสปรับตัวลงได้อีก เนื่องจากนักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มสถาบัน จะเลือกทำกำไรและหันกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า

 

เขามองว่าแนวรับของ Bitcoin ในรอบนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 30,000 ดอลลาร์ต่อ 1 Bitcoin เนื่องจากเป็นระดับราคาต้นทุนที่บริษัทขนาดใหญ่ เช่น MicroStrategy, Tesla รวมถึงกองทุนหลายแห่งเข้ามาซื้อ ทำให้คาดว่าเมื่อราคาหล่นไปถึงจุดดังกล่าวน่าจะมีแรงซื้อกลับมาจากกองทุนเหล่านี้

 

ในเชิงเทคนิค Bitcoin ยังไม่เคยหลุดเส้น 200 Weekly มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ 13 ปี ซึ่งปัจจุบันเส้นนี้อยู่ที่ระดับ 20,000 ดอลลาร์ ถ้าหลุดแนวรับที่สำคัญนี้ เราอาจจะได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน” เอกลาภกล่าว

 

เนื่องจากราคาคริปโทฯปรับขึ้นสูงในช่วงปีที่ผ่านมา (ดูกราฟประกอบ) จึงแนะนำลงทุนแบบ DCA หรือถัวเฉลี่ยโดยรอโอกาสเข้าซื้อ เมื่อราคาร่วงลงมาก เชื่อว่า Bitcoin มีโอกาสจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อภาพการดูแลเงินเฟ้อของ Fed และการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีชัดเจนมากขึ้น

ส่วนเรื่องความเข้มงวดในการกำกับดูแลนั้น “เอกลาภ”  มีความเห็นว่า  ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ยังใช้คริปโตเพื่อการลงทุนเท่านั้น คงมีเพียงส่วนน้อยมากๆ ที่ใช้ชำระสินค้า สิ่งที่อยากเห็นมากกว่าคือ ธปท. และ ก.ล.ต. จับมือกันตั้ง Sandbox ขึ้นมาให้ใช้

 

สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางชำระสินค้าไปเลย องค์กรใดอยากลองก็มาลอง เพื่อทดสอบความปลอดภัย ความสะดวก Pain Point และ Key Success ต่างๆ แทนที่จะปิดกั้นโอกาสกันแบบนี้

 

“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ประเมินว่า ทันทีที่เงินเฟ้อคุมได้ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน ชนะเลือกตั้ง  เชื่อว่า  Fed จะกลับลำมาอัดฉีดสภาพคล่องและหยุดการขึ้นดอกเบี้ยทันที เมื่อถึงเวลานั้นหุ้นจะกลับมานิวไฮ คริปโทฯจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง

 

สำหรับปัจจัยระยะสั้นที่เข้ามากระทบและกดดันตลาดคริปโทฯ รวมทั้งตลาดหุ้น Nasdaq ซึ่งเป็นแหล่งรวมหุ้นเทคโนโลยี ก็คือนโยบายการควบคุมเงินเฟ้อของ Fed ที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com