ปีนี้เป็นอีกปีที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ยังร้อนแรงเพิ่มยิ่งขึ้น โดยคนในแวดวงต่างคาดตลาดคริปโทฯจะแข่งขันสูง หลังจาก Binance บุกตลาดไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมทั้งด้านคุณภาพและราคา มาฟังภาพที่จะเกิดขึ้นในปีนี้และมุมมองของผู้เกี่ยวข้องตัวพ่อตัวแม่กัน
แวดวงลงทุนสินทรัพย์ดิจิตัล คาดว่าการแข่งขันของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัล จะสูงขึ้นหลังจากผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลกอย่าง Binance จับมือ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (Gulf) ผ่านบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกลุยธุรกิจดิจิตัลในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อว่าการแข่งขันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุน
นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย กล่าวว่า ดีลนี้ที่น่าสนใจติดตามมากว่าความร่วมมือของ Gulf และ Binance คือ จะออกมาเป็นรูปแบบใด แต่เชื่อว่าทั้งสองบริษัทจะเสริมซึ่งกันและกัน
Binance เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายคริปโทเคอเรนซีที่ใหญ่ที่สุดโลกมีเทคโนโลยีทางการเงินดิจิตัลและมีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายครบวงจรที่พร้อมให้บริการกับนักลงทุนไทย
แต่การทำธุรกิจในประเทศไทยภายใต้ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิตัล ก็จะทำให้แพลตฟอร์มการซื้อขายระดับโลกแห่งนี้สามารถ ทำได้ในขอบเขตจำกัดตามที่กฎหมายกำหนด เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลรายอื่นๆ
ดังนั้นจึงเชื่อว่า การเข้ามาของ Binance ในส่วนที่ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจในประเทศไทยร่วมกับ Gulf นั้นก็ไม่น่าจะไม่มีอะไรหวือหวามากนัก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการลงทุน ซึ่งสามารถทำได้ตามกรอบที่กฏหมายไทยกำหนด
สิ่งที่เป็นประโยชน์จากการแข่งขันสูงนั้น ย่อมส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมและนักลงทุนที่จะเห็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และบริการ รวมทั้งสงครามราคา หรือค่าธรรมเนียมที่น่าจะถูกลงด้วย เรียกว่ามาทั้งคุณภาพและราคา
อย่างไก็ตามในปัจจุบันมีนักลงทุนไทยจำนวนมาก ที่เปิดบัญชีซื้อขายคริปโทฯ กับ Binance อยู่แล้ว ซึ่งสามารถลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภทได้อย่างหลากหลาย ในเหรียญชนิดต่างๆที่อยู่นอกเหนือการอนุญาตของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เช่นเหรียญประเภท NFT หรือ Non-Fungible Token หรือเหรียญมีม
Memecoin แปลตรงตัวได้ว่า เหรียญมีม หมายถึง เหรียญที่ถูกสร้างขึ้นโดยอิงจากมีมต่าง ๆ ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในขณะที่สร้างเหรียญนั้นขึ้นมา โดยเหรียญแรกของเหรียญมีมก็คือ DOGE หรือ Dogecoin เรียกสั้น ๆ ว่าเหรียญหมา ซึ่งเหรียญในลักษณะนี้ ก.ล.ต.ไม่อนุญาตให้ list ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลที่ได้รับอนุญาต เมื่อเหรียญ Doge ได้รับความนิยมเหรียญอื่นๆ ที่ก็อปปี้ตามกันมาอีกหลายเหรียญ เช่น SHIBA, SHIBAPUP, KISHU, HUSKY, DOGES และ DOGET ซึ่งเหรียญเหล่านี้ ก็คงไม่สามารถนำมา list ที่ไทยได้ ส่วนเหรียญ NFT นั้นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตไม่สามารถนํา NFT ที่เข้าข่ายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ มาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้
ดังนั้นเหรียญ NFT ที่เป็นที่นิยมเหล่านี้ อาจจะไม่สามารถนำมา list ในศูนย์ซื้อขายที่ได้รับอนุญาตได้ เช่น Theta Network (THETA), Axie Infinity (AXS), Chiliz (CHZ), Enjin Coin (ENJ), Flow (FLOW) และ Decentraland (MANA)
อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. ได้ประกาศว่า หากบริษัทใดต้องการทำ NFT Marketplace ต้องมาขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจเพิ่มอีกหนึ่งใบ
ดังนั้นเชื่อว่านักลงทุนที่เทรดยู่กับ Binance ในปัจจุบัน ซึ่งยังไม่ได้ขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจในประเทศไทยก็จะยังคงเทรดกับ Binance เดิมต่อไป เพราะหลายๆ เหรียญที่เป็นที่นิยมไม่สามารถนำมาลิสต์ใน Binance ที่เปิดในไทยได้
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันก็ย่อมรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอนระหว่างศูนย์ซื้อขายเบอร์หนึ่งของไทยอย่าง Bitkub ซึ่งได้ผู้ร่วมทุนที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มธนาคารไทยพานิชย์หรือ SCBx กับเบอร์หนึ่งของโลกอย่าง Binance ที่มี Gulf ธุรกิจชั้นนำด้านพลังงานและโทรคมนาคมเป็นพันธมิตรหนุนหลัง
ปัจจุบัน Bitkub มีมาร์เก็ตแชร์กว่า 90% ในขณะที่มีศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตัลรับอนุญาตทั้งหมด 8 ราย และกำลังดำเนินธุรกิจ 6 ราย โดยมีหนึ่งรายที่ถูกระงับการประกอบธุรกิจคือ Huabi Thailand และอีกหนึ่งรายที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้วแต่ยังไม่ได้เริ่มประกอบธุรกิจ คือ SCBS
ด้านนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ บิทคับ กล่าวถึงกรณีความร่วมมือระหว่างกัลฟ์และBinance ว่า ขณะนี้ยังเป็นเพียงร่วมมือเพื่อศึกษา คงจะต้องรอดูแผนการจัดตั้งให้ชัดเจนว่า จะทำศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างไร หากมีความชัดเจนแล้วถึงจะสามารถประเมินได้ว่าจะส่งผลอย่างไรบ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มการเติบโตของตลาดคริปโทฯในไทยเชื่อว่า ในปีนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ทั้งจากตลาด NFT Defi, Gamefi ที่จะเห็นตลาดขยายตัวมากขึ้นจากธุรกิจเรียลเซ็กเตอร์ที่เข้ามาเชื่อมโยงในธุรกิจใหม่นี้
อีกทั้งในปี 2565 จะเป็นจุดเริ่มต้นของ Web 3.0 ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นไปอีกระดับทั้ง blockchain , internet of thing, AR, VR และ Metaverse เป็นต้น ซึ่งเป็นการเข้ามาปฏิวัติทำให้เศรษฐกิจโลกพัฒนาสู่ Digital economy
สำหรับ Gulf นั้นจากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส มองดีลนี้ว่าจะช่วยเปิดโอกาสให้สามารถขยายธุรกิจไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัลด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในอนาคต โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ ถือเป็นการผนึกความแข็งแกร่งจาก ทั้ง 2 บริษัทฯ โดย Gulf มีประสบการณ์และความชำนาญในการพัฒนาและบุกเบิกธุรกิจใหม่ๆในประเทศ ในขณะที่ Binance มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตเร็วที่สุด เป็นประวัติการณ์ และมีปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ทั้งนี้ ถือเป็น sentiment เชิงบวกในระยะยาวที่จะช่วยต่อยอดฐานกำไรในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของ Gulf ได้ในอนาคต น่าจะเป็น Sentiment ที่ดีต่อราคาหุ้น เช่นเดียวกับหุ้นอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจคลิปโทฯ ในช่วงที่ผ่านๆ มา
อย่างไรก็ดี การเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวของ Gulf ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาและยังไม่ได้มีการลงทุนใดๆ ซึ่งถือว่าต้องใช้เวลา และยังไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มในปัจจุบัน
ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า Gulf จับมือกับทาง Binance มองว่าเป็นการก้าวสู่ Megatrend ที่ค่อนข้างดีเพียงแต่ด้วยราคาหุ้นที่ขึ้นมาแรง ประกอบกับ Valuation ของตัวหุ้นที่อยู่ในระดับสูงแล้ว จึงมองว่าอาจมีความเสี่ยงที่ตัวหุ้น
อาจจะเจอแรงขาย Sell on fact ได้เช่นกัน
ส่วนประเด็นที่น่าติดตามต่อไปคือมุมมองของ Regulators ต่อดีลดังกล่าว และความคืบหน้าด้านมาตรการที่ Sensitive อย่างเช่นการจัดเก็บภาษีต่างๆในการซื้อขาย