ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สำนักงาน ก.ล.ต. มีนโยบายมุ่งเน้นการสร้างเสริมและผลักดันให้ตลาดทุนไทยก้าวสู่ความเป็นสากลและสามารถเชื่อมโยงกับตลาดทุนทั่วโลก ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนารูปแบบการระดมทุนในตลาดทุนภายในประเทศให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองแนวทางการลงทุนของผู้ลงทุนในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงแนวทางการลงทุนแบบการกระจายการลงทุน (asset allocation) ด้วย แม้ปัจจุบันการที่ผู้ลงทุน
จะนำเงินออกไปลงทุนตรงในต่างประเทศจะทำได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ลงทุนทุกคนจะสามารถลงทุนได้ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ที่หุ้นบริษัทต่างประเทศบางตัวมีราคาต่อหุ้นสูงตั้งแต่ระดับหมื่นบาทถึงล้านบาทต่อหุ้นเลยทีเดียว สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้ออกหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการออกผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผู้ลงทุนไทยสามารถกระจายการลงทุนไปในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศ และแม้มีเงินลงทุนไม่มากก็สามารถกระจายการลงทุนไปในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ โดยลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า DR
DR คืออะไร?
DR ย่อมาจาก Depository Receipts หรือที่เรียกเป็นภาษาทางการว่า ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ตราสารที่ออกมาโดยมีหลักทรัพย์ต่างประเทศอ้างอิง (underlying asset) โดย DR ของไทยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท[1] คือ
ทั้งสองประเภทมีความต่างกันตรงที่ DR แบบฝาก ชื่อก็บอกแล้วว่าผู้ลงทุนฝากลงทุนต่างประเทศไว้ ดังนั้น อัตราส่วนของ DR กับ underlying asset ต้องเท่ากับ 1 : 1 เท่านั้น ไม่สามารถแตกหน่วยย่อยของ DR ได้ แต่ถ้าเป็น DR แบบอ้างอิงสิทธิ ที่อ้างอิงสิทธิในผลประโยชน์ ก็สามารถกำหนดในอัตราส่วน 1 : 1 หรือไม่
ก็ได้ เช่น 1 หน่วย underlying asset : 100 หน่วย DR เป็นต้น แต่สิ่งที่ DR ทั้งสองประเภทมีเหมือนกันก็คือ
ผู้ออกและเสนอขาย DR (DR issuer)** จะต้องมีหลักทรัพย์ต่างประเทศอ้างอิงรองรับเต็มจำนวนเสมอ
สำหรับหลักทรัพย์ต่างประเทศที่สามารถนำมาเป็น underlying asset ได้แก่
(1) หุ้นต่างประเทศ
(2) กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Foreign ETF: Foreign Exchange Traded Fund)
(3) กองทุน Collective Investment Scheme (CIS) ต่างประเทศ และ
(4) REITs และ Infrastructure Fund ต่างประเทศ
ทั้งนี้ หลักทรัพย์ต่างประเทศดังกล่าวข้างต้น ยังต้องมีคุณสมบัติด้านคุณภาพด้วย เช่น ต้องมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่เป็นสมาชิกของ World Federation of Exchanges (WFE) หรือมีหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนเป็นที่ยอมรับของสำนักงาน ก.ล.ต. หรือเป็นสมาชิกสามัญของ International Organization of Securities Commissions (IOSCO)
เพราะเหตุใด DR จึงเป็นตัวช่วยในการกระจายการลงทุนไปยังหลักทรัพย์ในต่างประเทศ
นอกจาก DR จะเป็นตัวเชื่อมที่เปรียบเสมือนการนำหลักทรัพย์ต่างประเทศมาซื้อขาย
ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทยแล้ว จุดเด่นของ DR อีกอย่างหนึ่ง คือ การแตก underlying asset ออกมาเป็นหน่วยย่อยได้ ในกรณี DR แบบอ้างอิงสิทธิ ซึ่งผู้ออกสามารถกำหนดอัตราส่วน จำนวนของ DR ต่อ 1 หน่วยของ underlying asset เช่น underlying asset เป็นหุ้นต่างประเทศที่มีราคาตลาดซื้อขายที่ 10,000 บาท ต่อหุ้น ผู้ออกก็อาจกำหนดให้ 1,000 หน่วย DR : 1 หน่วยของ underlying asset ซึ่งจะทำให้ราคาซื้อขายของ DR เท่ากับ 10 บาทต่อหน่วย ผู้ลงทุนจึงสามารถเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น
ก่อนที่จะเริ่มลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลอะไร และดูข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนได้จากที่ไหนบ้าง
มาถึงส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการเริ่มลงทุน คือผู้ลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สามารถแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 ช่วง คือ การลงทุนซื้อขายในช่วงตลาดแรก (ช่วง IPO) หรือการลงทุนซื้อขายในตลาดรอง (ช่วงหลังจากที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์)
ช่วง IPO
ข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนจะต้องศึกษาก็คือ หนังสือชี้ชวนของ DR ตัวนั้น ๆ ซึ่งเป็นเอกสารที่รวมรายละเอียดข้อมูลสำคัญ เช่น
แบบ 100% รวมถึงมีการแต่งตั้ง market maker หรือไม่ ซึ่ง market maker มีหน้าที่ดูแลสภาพคล่องของ DR ทำให้การซื้อขาย DR มีความต่อเนื่องมากขึ้น ก็จะเป็นตัวช่วยในการลดความผันผวนของราคา DR ลง (2) ความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะ DR เป็นการลงทุนที่อ้างอิงกับ underlying asset ที่ไม่ใช่สกุลเงินบาท
นอกจากนี้ ขอย้ำว่าแม้ DR จะมีรูปแบบการเสนอขายเช่นเดียวกับหุ้น IPO แต่ไม่ใช่หุ้น IPO
แท้จริงแล้ว DR เป็นเพียงตราสารที่อ้างอิงกับ underlying asset ที่เป็นหลักทรัพย์ต่างประเทศเท่านั้น
การพิจารณาราคาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อ จึงต้องพิจารณาราคาของหลักทรัพย์อ้างอิงดังกล่าวด้วย
ช่วงหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ข้อมูลที่ผู้ลงทุนควรศึกษาก็ไม่ต่างจากช่วง IPO แต่จะมีเพิ่มเติม คือข้อมูลที่ผู้ออก DR ได้เปิดเผย
ผ่านตลาดหลักทรัพย์ตามเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. โดยข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนจะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ คือ ข้อมูลราคา DR
ที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับราคา underlying asset ในตลาดหลักต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า Indicative Price ซึ่ง Indicative Price ไม่ใช่ราคาเสนอซื้อเสนอขาย DR แต่เป็นมูลค่าของ underlying asset ระหว่างวันที่มีการปรับอัตราส่วนให้เป็นต่อหนึ่งหน่วย DR ซึ่งคำนวณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างประเทศกับสกุลเงินบาทไทย ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนทราบในเบื้องต้นว่า ราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ไทยนั้น แตกต่างจากราคา underlying asset ที่ซื้อขายในตลาดหลักอย่างไร เช่น หุ้นต่างประเทศที่เป็น underlying asset ราคาที่แปลงเป็นสกุลเงินบาทแล้วอยู่ที่ 10,000 บาท และ DR มีอัตราส่วน 1 : 1,000 ดังนั้น ราคา Indicative Price จะอยู่ที่ 10 บาทต่อหน่วย DR ซึ่งในสภาวะปกติราคาซื้อขาย DR จะใกล้เคียงกับราคา 10 บาท ตาม Indicative Price
จะเห็นได้ว่า DR เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนไทยได้ อย่างไรก็ตาม โอกาสในการลงทุนย่อมมาคู่กับความเสี่ยง ดังนั้น การศึกษาข้อมูลให้เข้าใจว่าเรากำลังจะลงทุนในอะไร มีความเสี่ยงในเรื่องอะไรบ้าง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ยังคงผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้แก่ผู้ลงทุนไทย โดยในปี 2564 สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านตลาดทุนในต่างประเทศ เช่น Monetary Authority of Singapore (MAS) เพื่อสนับสนุนให้เกิดเชื่อมโยงในการออกผลิตภัณฑ์ DR ระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ Singapore Exchange (SGX) อีกด้วย ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้มี DR ใหม่ของทั้งสองตลาด ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถติดตามข้อมูล หรือข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ DR หรือการระดมทุนต่าง ๆ ได้จากเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th
นายทรงยศ บรรจงมณี
ผู้อำนวยการ ฝ่ายจดทะเบียนหลักทรัพย์ 3
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)