"บริษัทใดที่มีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน ย่อมหมายถึงบริษัทนั้นมีกลยุทธ์ รูปแบบการดำเนินธุรกิจ และกระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ได้มาตรฐาน ทั้งในเชิงคุณภาพที่คำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) และเชิงปริมาณที่สะท้อนได้จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทแบบนี้จะกลายเป็นที่หมายปองของนักลงทุนรุ่นใหม่ และเป็นเทรนด์การลงทุนในระยะยาว"
การลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) กำลังเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น เห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนที่กำลังเติบโต โดยข้อมูลจาก Morningstar ผู้ให้บริการข้อมูลกองทุนรวมทั่วโลก เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 มูลค่าการลงทุนอย่างยั่งยืนทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 1,984.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
ถ้ามาดูในประเทศไทย พบว่า มี 48 กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนอย่างยั่งยืน (ข้อมูลจาก Morningstar Thailand) โดยกองทุนรวมเหล่านี้มีสินทรัพย์รวมประมาณ 56,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.5% จากเดือนธันวาคม ปี 2563 สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนไทยให้ความสนใจกับการลงทุนประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลของ Investopedia และ Treehugger ที่แสดงให้เห็นว่านักลงทุนจำนวนมากเริ่มใช้หลักการลงทุนอย่างยั่งยืนในการตัดสินใจลงทุนครั้งแรกของตัวเอง ซึ่งในการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ราว 58% บอกว่าสนใจอย่างจริงจังกับการลงทุนแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2563 และเกือบหนึ่งในห้าหรือ 19% บอกว่าได้ค้นหาข้อมูลและเริ่มซื้อหุ้นที่ดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนหรือกองทุนรวมยั่งยืนเก็บเข้าพอร์ตลงทุนแล้ว
สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งจากการสำรวจในรอบนี้ คือ นักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน ราว 62% ยอมรับว่ายังเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ในการลงทุน เช่น บางคนเริ่มเรียนรู้ได้เพียง 5 ปี ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่เหลือบอกว่ามีประสบการณ์การลงทุนเรื่องนี้มาเกือบจะทศวรรษแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต โดยมากกว่าสองในสามหรือ 67% บอกว่าตัวเองวางแผนที่จะลงทุนกับบริษัทที่จริงจังกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน
โดยคนยุคมิลเลนเนียล หรือ Gen Y กลายเป็นผู้นำความกระตือรือร้นด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับการแสวงหาผลกำไร โดยประมาณ 64% ของคนกลุ่มนี้ ได้ตอบแบบสอบถามบอกว่าตัวเองเชื่อบนหลักการว่า “การลงทุนอย่างยั่งยืน จะกลายเป็นมาตรฐานที่ดีที่มีประสิทธิภาพในอนาคตอันใกล้”
เช่นเดียวกับ Yahoo Finance-Harris Poll โดยเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ปี 2564 ได้ทำการสำรวจชาวอเมริกันที่มีข้อมูลประชากร เช่น อายุ ภูมิภาค และระดับรายได้ที่แตกต่างกันจำนวน 1,053 คน เกี่ยวกับทัศนคติต่อการลงทุนอย่างยั่งยืน
พบว่า คนรุ่นมิลเลนเนียลคุ้นเคยกับการลงทุนอย่างยั่งยืนมากที่สุด คือ 51% รองลงมา คือ Gen Z (37%) ขณะที่คนรุ่น Gen X และ Baby Boomer คุ้นเคยกับการลงทุนแบบนี้ 32%
ที่สำคัญนักลงทุนรุ่นมิลเลนเนียล และ Gen Z พยายามที่จะปรับพอร์ตการลงทุนของตัวเองให้สอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขา โดย 95% บอกว่าปัจจัยหลักในการเลือกลงทุน คือ ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
แน่นอนว่าเทรนด์การลงทุนอย่างยั่งยืนดูไม่มีทีท่าที่จะแผ่วลง แต่จะมีบทบาทมากขึ้นไปอีก ด้วยความสนใจของนักลงทุนรุ่นใหม่ โดยในปี 2562 The Morgan Stanley Institute for Sustainable Investing ทำการสำรวจนักลงทุนรุ่นใหม่ในสหรัฐอเมริกา พบว่า 95% ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน ขณะที่ในปี 2563 DeVere Group ได้ทำการสำรวจนักลงทุนกลุ่มเดียวกันทั่วโลกจำนวน 1,125 คน พบว่า 77% ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืนเช่นกัน ซึ่งต้องยอมรับว่านักลงทุนรุ่นใหม่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การลงทุนอย่างยั่งยืนเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
จากนี้ไป ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในหุ้น นอกจากต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคแล้ว ก็ต้องดูด้วยว่าบริษัทนั้นมีกลยุทธ์สร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจในระยะยาวมากน้อยเพียงใด ซึ่งการมองการลงทุนในมิติแบบนี้เรียกว่า “Sustainable Investment” คือ ความต้องการความยั่งยืนในการลงทุน
การเลือกลงทุนหุ้นยั่งยืน นอกจากจะสามารถลดความเสี่ยงและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียน สร้างมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจเพื่อโลกที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
..........................................................
โดย ฐิติเมธ โภคชัย : ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย