บทความ

หุ้นปั่น ไม่ต่างอะไรจาก “แชร์ลูกโซ่” โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 
20 ก.ย. 2565

หุ้นปั่น VS แชร์ลูกโซ่
เหยื่อ VS นักล่า

โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

 

“Talk of the town” หรือเรื่องราวที่ “คนพูดถึงกันทั้งเมือง” ในช่วงนี้ก็คือเรื่องคดี Forex3D ที่เป็น “แชร์ลูกโซ่” วงใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับดาราภาพยนตร์ชื่อดังจำนวนมาก และในช่วงนี้ “เจ้ามือ” ซึ่งอาจจะรวมถึงดาราถูกจับหรือกำลังถูกเรียกตัวเพื่อส่งฟ้องศาล ความเสียหายที่เกิดขึ้นนับเป็นเงินหลายพันล้านบาท และผู้ที่เกี่ยวข้องที่เป็นเหยื่อนับเป็นหมื่นคน กรณี Forex3D นั้นเกิดขึ้นมาไม่น้อยกว่า 2-3 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะถูกจับเมื่อ 2-3 เดือนนี้—หลังจากที่แชร์ล่มและมีคนที่เข้าไปเล่นและ “ขาดทุน” ร้องเรียนกับตำรวจว่า “ถูกโกง”


เรื่องของแชร์ลูกโซ่นั้นมีมาตั้งแต่ปี 1920 หรือประมาณ 100 ปีแล้ว คนแรกที่ทำและดังมากจนชื่อของเขากลายเป็นชื่อของแชร์ลูกโซ่แบบนี้ก็คือคนอเมริกันชื่อนาย Charles Ponzi โดยที่เขาตั้งบริษัทชื่อ “Securities Exchange Company” หรือ “บริษัทตลาดหลักทรัพย์” ขึ้นมาเพื่อที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายคูปองการส่งไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นคงเป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในเทรนด์ของการเก็งกำไรสูงมากจนคนรู้สึกว่ามันเป็น “ธุรกิจแห่งอนาคต” ที่คนทันสมัยและหัวก้าวหน้าอยากลงทุนด้วย โดยที่ Ponzi สัญญาว่าถ้าใครลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 50% ในเวลา 45 วันหรือ 100% ในเวลา 90 วัน ผลก็คือ มีคนเชื่อและเข้าร่วมลงทุนจำนวนมาก


แต่ข้อเท็จจริงก็คือ พอนซี่ไม่ได้ลงทุนในคูปองอะไรนั่นหรอก เขาเพียงแต่รับเงินลงทุนของคนลงทุนคนแรก และจ่ายผลตอบแทนด้วยเงินลงทุนของนักลงทุนคนที่สอง และก็จ่ายเงินให้คนที่สองด้วยเงินของคนที่สามและก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ยิ่งมีคนมาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็สามารถจ่ายเงินผลตอบแทนให้กับคนที่ลงทุนได้ตามสัญญา แต่เมื่อใดก็ตามที่คนใหม่เข้ามาลงทุนน้อยลงหรือเริ่มหยุดลง ซึ่งจะทำให้คนเก่าไม่ได้รับเงินผลตอบแทน “แชร์” ก็ล้ม คนเสียหายมากที่สุดก็คือคนที่เข้าทีหลัง คนที่เข้ามาก่อนและออกไปแล้วอาจจะได้กำไร แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะขาดทุนเพราะออกไม่ทัน คนที่กำไรมากที่สุดก็คือ “เจ้ามือ” ที่มักจะเชิดเงินหนีหรือถูกตำรวจจับไปแล้ว


แชร์ลูกโซ่ไม่ได้หมดไปหลังจากพอนซี่แต่กลับเติบโตขึ้นและกระจายไปทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่คนมีเงินหรือรวยขึ้นและชอบเก็งกำไรในสิ่งที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีมากแบบง่าย ๆ โดยเฉพาะในยามที่ประเทศหรือสังคมกำลังอยู่ในภาวะที่มีการเก็งกำไรสูงในอุตสาหกรรมหรือกิจกรรมบางอย่าง ตัวอย่างที่ประเทศไทยก็มีกรณีแรกคือ “แชร์แม่ชม้อย” ที่เกิดขึ้นในยามที่โลกเกิดวิกฤติน้ำมันครั้งแรกในปี 1973 หรือ 2516 ซึ่งทำให้น้ำมันมีราคาแพงมาก และการค้าขายน้ำมันน่าจะทำกำไรได้มหาศาลหรืออย่างน้อยคนก็เชื่ออย่างนั้น ซึ่งทำให้ “แม่ชม้อย” จัดตั้งบริษัทชื่อ “ปิโตรเลียม แอนด์ มารีนเซอร์วิส จำกัด” และเริ่มชักชวนให้คนมาลงทุนโดยสัญญาให้ผลตอบแทนเดือนละ 6.5% หรือ 78% ต่อปี ในปี 2520 และต่อเนื่องไปถึงปี 2528


แชร์แม่ชม้อยอยู่ได้นานและดึงดูดคนจำนวนมากถึงกว่า 13,000 คน และเงินที่เสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะในสมัยนั้นคนทั่วไปและอาจจะรวมถึงเจ้าหน้าที่ยังไม่รู้จักแชร์ลูกโซ่ว่าคืออะไรและทำงานอย่างไรรวมถึงกฎหมายก็อาจจะยังไม่รองรับ อย่างไรก็ตาม ชม้อยก็ถูกจับและติดคุกฐานฉ้อโกงประชาชนร่วมกับพวกอีก 7 คน เป็นเวลาคนละกว่า 100,000 ปี เพราะมีผู้เสียหายมาก แต่ตามกฎหมายก็ถูกจำคุกสูงสุดได้แค่ 20 ปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการลดโทษ 2 ครั้งในช่วงเวลานั้นทำให้ชม้อยอยู่ในเรือนจำเพียงประมาณ 8 ปีเท่านั้น


แชร์ลูกโซ่ในระยะหลัง ๆ มีการพัฒนาขึ้นมาก อานิสงส์จากนวัตกรรมการเงินและการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ที่เห็นได้ชัดก็คือ การเกิดขึ้นของตลาดหุ้นและตลาดของเงินคริปโตและเหรียญดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีช่องทางในการลงทุนที่กว้างขวางและรวดเร็วมาก แค่ “ปลายนิ้ว” และด้วยเงินน้อยนิดซึ่งทำให้คนทั่ว ๆ ไปสามารถเข้ามาเล่นได้อย่างสะดวก


ในด้านของนวัตกรรมทางการตลาดเองนั้น นอกจากการประชาสัมพันธ์ที่ง่ายและเข้าถึงคนจำนวนมากแบบแทบไม่มีต้นทุนแล้ว ยังมีระบบการตลาดแบบเครือข่ายหลายชั้นหรือที่เรียกว่า MLM คือการที่ใช้ “แม่ทีม” ที่อาจจะเป็นลูกค้าที่มาลงทุนอยู่ก่อนแล้ว ไปหาลูกค้าใหม่ที่จะเป็น “ลูกทีม” ซึ่งเมื่อมาลงทุนก็จะทำให้แม่ทีมได้เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนด้วย วิธีนี้ได้เปลี่ยนให้คนซื้อผลิตภัณฑ์จำนวนมากกลายเป็น “คนขาย” ที่อาจจะ “ได้กำไร” จากคนที่มาซื้อที่เป็นลูกทีม และนี่ก็อาจจะเป็นปัญหาให้กับคนจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นคนที่เข้าไปเล่นกับธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เพราะว่าเมื่อวงแชร์แตก “แม่ทีม” ก็อาจจะกลายเป็น “จำเลย” เพราะถือว่าไปหลอกลวงคนให้มาเล่นหรือมาลงทุน แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่เข้าไปลงทุนและอาจจะเสียหายและน่าจะเป็น “โจทย์” ประเด็นนี้คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่จะต้องตัดสิน


นวัตกรรมทางการเงินที่ผมคิดว่ามีปัญหายิ่งกว่าเรื่องของการตลาดก็คือ การใช้ตลาดหุ้นในการเป็น “แชร์ลูกโซ่” ดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุนหรือมาเล่นหุ้นที่ “ถูกปั่น” หรือถูก “Corner” ให้มีราคาสูงผิดธรรมชาติมาก ซึ่งคนที่ทำนั้นไม่ต้องเปิดเผยตัวตนหรือถึงคนจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้ผิดกฎหมาย บางทีก็อาจจะไม่ผิดศีลธรรมหรือจรรยาบรรณอะไรด้วย ว่าที่จริงคนที่ทำอาจจะกลายเป็น “ไอดอล” นักลงทุน ที่มีอิทธิพลในการทำราคาหุ้นได้


สิ่งที่ผมคิดว่าหุ้นปั่นหรือหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์หลาย ๆ ตัวนั้นก็คือ “แชร์ลูกโซ่” ก็เพราะว่า ข้อแรก หุ้นนั้นก็คือบริษัทที่จะดึงดูดให้คนมาลงทุน เช่นเดียวกับบริษัทของพอนซี่หรือของชม้อย และก็มักจะเป็นบริษัทที่ฟังดูแล้วกำลังทำอะไรที่ร้อนแรงเป็น “ธุรกิจแห่งอนาคต”


ข้อสอง อาจจะดูเหมือนว่าบริษัทจดทะเบียนมีพื้นฐานจริง เพราะมีรายได้และกำไร บางบริษัทก็มากเป็นร้อยล้านหรือพันล้านบาท มีธุรกิจจริงและอยู่มานาน แต่ประเด็นของผมก็คือ พื้นฐานของบริษัทนั้นอาจจะเป็นเพียง 1 ใน 10 หรือน้อยกว่าเทียบกับราคาตลาดของหุ้น ซึ่งเท่ากับว่าถึงที่สุดเมื่อฟองสบู่แตก มูลค่าหุ้นลดลงไป 90% ก็แทบไม่ต่างกับแชร์ลูกโซ่ที่อาจจะลดลง 95 หรือ 99%


ข้อสาม หุ้นปั่นหรือที่ถูกคอร์เนอร์รุนแรงนั้น แม้ว่าจะไม่ได้สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนแน่นอนแต่ก็สร้างสภาวะที่ดูเหมือนว่าคนเข้าไปเล่นโดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ที่มีการ “ลากหุ้น” ขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้คนที่ “เข้าไปก่อน” ได้ผลตอบแทนสูงมากและ “ติดใจ” และก็ดึงดูดให้คนเข้ามาเล่นหุ้นตัวนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น “ลูกโซ่” จนถึงคนท้าย ๆ ที่หุ้นปั่น “แตก” เพราะ “เจ้ามือ” เทขายและทำกำไรมหาศาลโดยที่ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย โดยที่เม็ดเงินที่ได้อาจจะมากกว่าแชร์ลูกโซ่อย่างเทียบกันไม่ได้


แน่นอนว่าการใช้ตลาดหุ้นและหุ้นบางตัวมาทำเป็นแชร์ลูกโซ่นั้น มีความซับซ้อนและต้องอาศัยเงินทุนและอาจจะต้องเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดและทำให้คนทำขาดทุนได้ แต่นั่นผมคิดว่าเป็นส่วนน้อยและคุ้มค่ามากที่จะทำ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้าทำหลาย ๆ ตัวโอกาสพลาดซักตัวหรือสองตัวก็ไม่มีผลอะไรกับผลตอบแทนโดยรวม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำแชร์ลูกโซ่ในตลาดหุ้นนั้น ถ้าทำเป็นและรู้เรื่องกฎหมาย แทบจะไม่มีความเสี่ยงในการถูกจับเลย ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เข้ามาเล่นก็ไม่เคยแจ้งความเอาผิดกับคนทำ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะไม่ตระหนัก ว่าที่จริงพวกเขาหลายคนก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็น “นักล่า” ที่จะเข้าไปหาผลตอบแทนหรือเป็น “เหยื่อ” ที่จะถูกกินหรือขาดทุนในการเล่นแต่ละตัวหรือในวงแชร์แต่ละวง

ที่มา :
https://blog.settrade.com/blog/nivate/2022/09/19/2707

#ดรนิเวศน์ #ลงทุนเน้นคุณค่า #valueinvestor #SETInvestnow #SettradeBlog  

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com