Key Highlights
พงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ
Krungthai COMPASS
หลายประเทศทั่วโลกมีเป้าหมายที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission เพื่อรักษาอุณหภูมิของโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2593 จึงจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 45% เมื่อเทียบกับปี 2553 [1]ซึ่งหนึ่งนแนวทางที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ นั่นคือ การสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV)
ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) กำลังเข้ามาทดแทนการใช้ยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) เพราะนอกจากการใช้ BEV ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 37%-69% [2]ซึ่งช่วยให้ประเทศและองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ได้ง่ายขึ้นแล้ว ต้นทุนการใช้งานของยานยนต์ดังกล่าวยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะต่ำกว่ายานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2573[3] ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์มากขึ้นในระยะข้างหน้า โดย Goldman Sachs คาดว่ายอดขาย BEV ของทั่วโลกจะเพิ่มจาก 2 ล้านคัน ในปี 2563 เป็น 70 ล้านคัน ในปี 2583[4]
สอดคล้องกับประเทศไทย ที่คาดว่ายอดจดทะเบียนสะสมยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ดังกล่าวทั้งในแง่ของการให้เงินอุดหนุนในการซื้อและลดภาษีสรรพสามิตร ทำให้มีความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV มากขึ้น นำมาซึ่งความต้องการในการใช้บริการสถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามด้วย อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน ไทยยังมีสถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน จึงจำเป็นจะต้องเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้บริการที่มีแนมโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต
บทความนี้จึงจะวิเคราะห์ถึงรายละเอียดรูปแบบของเครื่องอัดประจุไฟฟ้า จำนวนเครื่องประอัดประจุไฟฟ้าที่ควรเพิ่ม รวมถึงธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากขยายการลงทุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าในอนาคต
ทำความรู้จักกับเครื่องอัดประจุไฟฟ้าที่นิยมในไทย
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเครื่องอัดประจุไฟฟ้าประเภทต่างๆ โดยปัจจุบันเครื่องอัดประจุไฟฟ้าที่นิยมใช้ในบ้าน อาคารสำนักงาน สถานีอัดประจุไฟฟ้า และโรงแรมในไทย มีอยู่ 3 รูปแบบหลัก ดังนี้
1. เครื่องอัดประจุแบบช้าด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternative Current หรือ AC Slow Charger) เป็นเครื่องอัดประจุไฟฟ้าระดับ 1 (Level 1) ซึ่งสามารถอัดประจุด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 3-6 กิโลวัตต์ จึงทำให้ระยะเวลาในการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าต่อครั้งนานราว 6-12 ชั่วโมง[5]โดยเหมาะแก่การใช้ในบ้าน และอาคารสำนักงาน โดยราคาของรูปแบบดังกล่าวอยู่ราว 10,000บาท/หัวชาร์จ[6]
2.เครื่องอัดประจุแบบปกติด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternative Current หรือ AC Normal Charger) เป็นเครื่องอัดประจุไฟฟ้าระดับ 2 (Level 2) ซึ่งสามารถอัดประจุด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 7-22 กิโลวัตต์ จึงทำให้ระยะเวลาในการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าต่อครั้งราว 4-7 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะกับการใช้ในพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น ลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้า5 อย่างไรก็ตาม สามารถติดตั้งเครื่องอัดประจุแบบนี้ในที่อยู่อาศัยได้เช่นเดียวกัน โดยราคาของเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ราว 35,000 -70,000 บาท/หัวชาร์จ6
3.เครื่องอัดประจุแบบเร็ว (Fast Charger) ซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ 3.1) เครื่องอัดประจุแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Fast Charge) และ 3.2) เครื่องอัดประจุแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Fast Charge) ซึ่งทั้งสองรูปแบบสามารถอัดประจุด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 43-150 กิโลวัตต์ได้ถึง 80% ของความจุของแบตเตอรี่5 จึงทำให้ระยะเวลาในการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าต่อครั้งไม่เกิน 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี เครื่องดังกล่าวมีต้นทุนการติดตั้งที่สูงมาก เพราะเครื่องอัดประจุไฟฟ้าดังกล่าวมีราคาราว 650,000-1,360,000 บาท/เครื่อง หรือ 2 หัวชาร์จ6 นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องการติดตั้งรูปแบบดังกล่าวยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าหม้อแปลงไฟฟ้า ค่าบริการติดตั้ง ค่าก่อสร้าง จึงเหมาะกับการติดตั้งในสถานที่ที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากและเร่งด่วน เช่น สถานีอัดประจุไฟฟ้า
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 1,482 สถานี ซึ่งมีเครื่องอัดประจุไฟฟ้าทั้งหมด 4,628 หัวชาร์จ (ข้อมูล ณ 22 พ.ค.2566) โดยแบ่งเป็นเครื่องอัดประจุแบบ AC Normal Charge (AC) ทั้งหมด 2,833 หัวชาร์จ และส่วนที่เหลืออีก 1,795 หัวชาร์จเป็นเครื่องอัดประจุแบบเร็ว (Fast Charger) โดยสถานีเหล่านั้นกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและภาคตะวันออกเป็นหลัก ซึ่งคิดสัดส่วนราว 41% และ 24% ของจำนวนสถานีทั้งหมด ตามลำดับ
อย่างไรดี สถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้ายังคงไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการใช้บริการของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในอนาคต จึงจำเป็นต้องเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้า โดยเฉพาะแบบ Fast Charger ซึ่งเป็นรูปแบบที่ภาครัฐส่งเสริมให้ติดตั้งและตอบโจทย์พฤติกรรมการอัดประจุไฟฟ้าของผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของไทย โดยรายละเอียดจะวิเคราะห์ในหัวข้อถัดไป
ปัจจุบันสถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการของไทยหรือไม่?
ก่อนที่จะวิเคราะห์ว่าไทยมีสถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ เราได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มยอดจดทะเบียนสะสมของยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) ของไทย โดยประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.01 แสนคันในปี 2566 เป็น 1.29 ล้านคันในปี 2573 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ BMI Research ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของ Fitch Group Company[7] โดยมีปัจจัยหนุน ดังนี้
1. ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะออกนโยบายสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ทั้งในแง่ของการให้เงินอุดหนุนในการซื้อยานยนต์ไฟฟ้าและลดภาษีสรรพสามิตรของยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงปี 2567-70[8] ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ต้นทุนยานยนต์ไฟฟ้าในไทยลดลง จึงมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดความต้องการในการซื้อยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ในช่วงเวลาดังกล่าว
2. ต้นทุนการใช้งาน (Cost of Ownership) ของยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEVมีแนวโน้มลดลง ตามต้นทุนดังกล่าวโดยเฉลี่ยของอาเซียนที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งอาเซียน หรือ Economic Research Institute for ASEAN and East Asia (ERIA) คาดว่าจะลดลงจาก 144,500 บาท/ปี ในปี 2563 จนเหลือเพียง 99,580 บาท/ปี ในปี 2573 ซึ่งต่ำกว่ายานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่จะอยู่ราว 109,000 บาท/ปี เนื่องจากต้นทุนแบตเตอรี่ของยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี และต้นทุนการผลิตที่จะลดลง ตามปริมาณการผลิต[9] จึงมีแนวโน้มที่จะดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์ดังกล่าวมากขึ้นในอนาคต
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปัจจุบัน ภูมิภาคของประเทศไทยส่วนใหญ่มีสถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้าเพียงพอที่จะรองรับการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV อย่างไรก็ดี ยังมีบางภูมิภาคที่ขาดสถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ได้แก่ ภาคเหนือ และภาคใต้ โดยการประเมินอยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวของไทยอัดประจุไฟฟ้าทั้งหมด 10 ครั้ง/เดือน[10] ซึ่งเป็นไปตามผลสำรวจของโครงการจ้างสำรวจและวิเคราะห์ตลาดของ EV Charger ในประเทศไทย ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
สำหรับปี 2573 คาดว่าความต้องการใช้บริการสถานีและเครื่องอัดประจุไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น ตามยอดจดทะเบียนสะสมของยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ของไทย ซึ่งประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.01 แสนคันในปี 2566 เป็น 1.29 ล้านคันในปี 2573 จึงต้องเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ Fast Charger ราว 10,294 หัวชาร์จ หรือ 5,147 เครื่อง จากปัจจุบัน เพื่อให้บริการแก่ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของภาครัฐที่จะเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้าดังกล่าวอีก 10,205 หัวชาร์จจากปัจจุบันภายในปี 2573 [11]โดยต้องเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้านี้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลราว 5,028 หัวชาร์จ (2,514 เครื่อง) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ราว 1,410 หัวชาร์จ (705 เครื่อง) ภาคใต้ราว 1,076 หัวชาร์จ (538 เครื่อง) ภาคกลางราว 1,030 หัวชาร์จ (515 เครื่อง) ภาคเหนือราว 876 หัวชาร์จ (438 เครื่อง) ภาคตะวันออกราว 502 หัวชาร์จ (251 เครื่อง) และภาคตะวันตกราว 372 หัวชาร์จ (186 เครื่อง) โดยการประเมินในครั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่ายอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ของแต่ละภูมิภาคจะเติบโต ตามสัดส่วนของยอดจดทะเบียนสะสมรถยนต์ทั้งหมดของภูมิภาคเหล่านั้น
เมื่อพิจารณาตำแหน่งที่ตั้งของเครื่องอัดประจุไฟฟ้าดังกล่าวเป็นรายจังหวัด พบว่า จังหวัดที่ควรติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ Fast Charger เพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการใช้บริการในปี 2573 เป็นจังหวัดที่ขาดเครื่องอัดประจุไฟฟ้าในการให้บริการจำนวนมากในปีดังกล่าว เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี สงขลา ขอนแก่น และอุบลราชธานี โดยควรติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้าทุกๆ ไม่เกิน 160 กิโลเมตร เนื่องจากระยะดังกล่าวเป็นระยะในการขับขี่ที่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ของไทยมีแนวโน้มที่จะใช้บริการอัดประจุไฟฟ้า[12]
นอกจากนั้น ยังรวมถึงจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวคนไทยจำนวนมาก และยังมีสถานีอัดประจุไฟฟ้าไม่มากนัก เพื่อรองรับการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ที่เดินทางท่องเที่ยว เช่น กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี เชียงราย และสมุทรสงคราม
หากผู้ประกอบธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าของไทยขยายการลงทุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ Fast Charger ตามการประเมินในข้างต้น คาดว่าจะก่อให้เกิด
เม็ดเงินลงทุนในธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าประมาณ 1.17 หมื่นล้านบาท[13] อีกทั้งยังส่งผลให้รายได้รวมของธุรกิจการให้บริการอัดประจุไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 230 ล้านบาท ในปี 2565[14] เป็น 11,100 ล้านบาท ในปี 2573[15] ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าสัดส่วนของผู้ใช้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าอยู่ราว 40% ของยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ของไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามสัดส่วนดังกล่าวของทั่วโลก ยกเว้นจีน[16]
ในระยะข้างหน้า หากผู้ประกอบการเพิ่มเครื่องอัดประจุไฟฟ้า แบบ Fast Charger ตามการประเมินข้างต้น นอกจากจะช่วยหนุนให้ธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับสถานีอัดประจุไฟฟ้า เช่น ธุรกิจจัดจำหน่ายและติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้า และธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมจะวิเคราะห์ในหัวข้อถัดไป
กลุ่มธุรกิจอะไรที่ได้รับประโยชน์จากการขยายการลงทุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าของไทย?
ก่อนที่จะวิเคราะห์ว่าธุรกิจอะไรที่ได้รับประโยชน์จากการขยายการลงทุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้า แบบ Fast Charger ตามความต้องการใช้บริการของยานยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV เราจะอธิบายเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
2.1) กลุ่มผู้ค้าส่งเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งเป็น
ผู้จัดจำหน่ายเครื่องอัดประจุไฟฟ้าของแบรนด์ตัวเองให้กับผู้จัดจำหน่ายรายย่อยไปจำหน่ายและบริการติดตั้งต่อ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด
4 ราย
2.2) กลุ่มผู้ค้าปลีกเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ที่มักเป็นผู้จัดจำหน่ายและให้บริการติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้าและอุปกรณ์อื่นๆให้กับสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งมีทั้งหมด 22 ราย
3. กลุ่มธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งทำหน้าที่ให้บริการอัดประจุไฟฟ้ากับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งมีผู้ประกอบการทั้งหมด 11 ราย โดย 55% ของผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ทั้งหมด (6 ราย) ดำเนินทั้งธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าและจัดจำหน่ายเครื่องอัดประจุไฟฟ้า17
4.กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงและ Main Distribution Board (ตู้ MDB) ซึ่งผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จะผลิตและจัดจำหน่ายหม้อแปลง ตู้ MDB มิเตอร์ไฟฟ้า และสายดิน ให้ผู้ค้าปลีกเครื่องอัดประจุไฟฟ้าไปติดตั้งให้กับสถานีอัดประจุไฟฟ้า โดยมีผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงทั้งหมด 67 ราย สำหรับผู้ผลิตตู้ MDB มิเตอร์ไฟฟ้า และสายดิน ส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ควบคุมจ่ายไฟฟ้า ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 77 ราย[18]
เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดของห่วงโซ่อุปทานของสถานีอัดประจุไฟฟ้า Krungthai COMPASS มองว่าธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากขยายการลงทุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ Fast Charger ตามความต้องการในปี 2573 มี 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลง และอุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟฟ้า ที่คาดว่าจะได้รับรายได้จากการขายให้กับผู้จัดจำหน่ายเครื่องอัดประจุไฟฟ้าไปติดตั้งต่อราว 2.25 พันล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น 1) รายได้จากการขายหม้อแปลงราว 1.14 พันล้านบาท [22] 2) รายได้จากการขายตู้ MDB มิเตอร์ไฟฟ้า และสายดิน ประมาณ 1.11 พันล้านบาท22 โดยการประเมินในครั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าแต่ละสถานีอัดประจุไฟฟ้าใช้หม้อแปลง ตู้ MDB และเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ Fast Charger อย่างละเครื่อง
กลุ่มธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสถานีอัดประจุไฟฟ้าจะได้รับอานิสงส์จากการขยายการลงทุนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบ Fast Charger ตามความต้องการใช้บริการในปี 2573 ทั้งหมดราว 13,360 ล้านบาท โดยธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการขยายการลงทุนดังกล่าวมากที่สุด นั่นคือ กลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายและติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะได้รับรายได้ในส่วนนี้ราว 8.55 พันล้านบาท
Implication: