บทความก่อนหน้าได้ว่าถึงเรื่อง”ปีเสือดุ” ผ่านปีใหม่มาไม่กี่วัน เสือดุดั่งที่ว่าจริงๆ แต่พลิกล็อคเป็นฝั่ง “บริษัทประกันภัย” แสดงความดุเสียเอง ทั้งที่ๆบทความนั้นพยายามสื่อถึงดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคปภ.ให้เพลาๆ”ความดุเพื่อประชาชน”ลงบ้าง
ปรากฏการณ์ฝั่งบริษัทประกันภัยเล่นบทเสือดุดังกล่าวมา นับเป็นอุบัติใหม่วงการประกันภัยอีกครั้งที่ต้องบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของวงการประกันภัย เมื่อบริษัทอาคเนย์และไทยประกันภัย ฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลางว่าท่านเลขาธิการและสำนักงานคปภ. ออกคำสั่งทางปกครอง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ปรากฏการณ์นี้ชวนให้สังคมผู้คนคิดกลับลำ 360 องศาเช่นกัน คงเดือดร้อนแสนสาหัสจริงๆ เอกชนถึงกล้าฟ้องหน่วยงานรัฐ ซึ่งก็เหมือนกับชาวบ้านฟ้องตำรวจนั้นแล ไม่เหลืออดไม่กล้าทำ
แน่นอนเมื่อกระบวนการเข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองกลาง เราๆท่านๆก็ไม่ต้องมานั่งตีความมองเหลี่ยมของกฏหมาย แต่ที่แน่ๆท่านเลขาธิการฉายแสงทันควันว่า แม้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล แต่บริษัทประกันภัยยังต้องจ่ายเจอจ่ายจบเหมือนเดิม
อะแฮ่ม! ไม่รู้หมายถึงตัวท่านเลขาธิการเองหรือไม่ เพราะล่าสุดขณะที่นั่งปั่นต้นฉบับนี้อยู่ สื่อมวลชนทุกสำนักประโคมข่าว...เลขาธิการคปภ.ติดโควิด
อย่างไรก็มีรายงานว่าล่าสุดออกมาว่า ท่านเลขาธิการคปภ.ไม่ขอใช้สิทธิเบิกเคลมเจอจ่ายจบ จาก 2 บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่
อีกทั้งจากการคลุกวงในแวดวงประกันภัยได้รับรู้มาว่าผลของการตัดสินนั้น ทางฝั่งบริษัทประกันภัยมิได้มองเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเรื่องใหญ่คือ ความถูกต้องของกฏหมาย และเป็นคำพิพากษาที่จะถือเป็นบรรทัดฐานใช้ต่อไป โดยเฉพาะข้อความที่ระบุไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์แทบทุกฉบับ มีเงื่อนไขระบุว่าบริษัทประกันภัยสามารถยกเลิกสัญญาได้ อันเป็นเงื่อนไขที่ใช้กันทั้งโลก
ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้มองเม็ดเงินต้องจ่ายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะช่วงที่ผ่านมาหลายบริษัท โดยเฉพาะบรรดายักษ์ใหญ่ได้สถานการณ์จำลองหรือที่เรียกว่า”ฉากทัศน์”ว่า ถ้าเจอสถานการณ์ที่แย่ที่สุด จะมีเงินจ่ายหรือไม่!
บทสรุปที่รับรู้มา “มีเงินจ่ายเพียงพอ”
อีกทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ยังสามารถบริหารความเสี่ยงจากการขาดทุนในการรับประกันอีกด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่าพอร์ทการรับประกันภัยนั้น ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่ประกันสุขภาพ แต่กระจายไปยังการประกันภัยประเภทอื่นๆ เช่นการประกันภัยรถยนต์ ซึ่งเป็นที่รับรู้ภายในวงการประกันภัยรถยนต์ว่า วิกฤตโควิดทำให้คนใช้รถยนต์น้อยลง เมื่อคนใช้รถยนต์น้อยลง ย่อมที่จะทำให้ยอดสินไหมรถยนต์ลดลงตามไปด้วย
รับเยอะ ลดเยอะ มีส่วนต่างที่เอาไปชดเชยกับสิ่งที่จ่ายไปเยอะ และแน่นอนย่อมเจ็บตัวน้อยลง…อะไรทำนองนี้
นั่นหมายความว่า กลุ่มคนที่รู้ดีที่สุดว่าอุบัติภัยไวรัสโควิดจะสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจประกันภัยมากน้อยแค่ไหน ก็คือ กลุ่มนักคณิตศาสตร์ประกันภัยนั่นเอง และไม่น่าเชื่อไม่เคยมีถ้อยแถลงอันใดหรือเอกสารบทความอื่นใดจากสมาคมนักคณิตศสาตร์ประกันภัยออกมาให้ข้อมูลกับสังคม ยกเว้นความคิดเห็นผิวเผินของอดีตนายกสมาคมฯ
ฝั่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำ”ฉากทัศน์”ออกโรงเตือนอยู่ตลอดเวลาว่าผู้ป่วยฏโควิดน่าจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ โดยจำลองเป็น 3 ฉากทัศน์คือ จากฉากทัศน์ในสถานการณ์แย่ที่สุด ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ และฉากทัศน์ที่ดีที่สุด
เช่นเดียวกันทางฝั่งสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ควรทำแบบสถานการณ์จำลองขึ้นมาบ้างว่า แต่ละฉากทัศน์นั้น บริษัทประกันภัยอยู่ในภาวะอะไรบ้าง
โดย “ผลลัพธ์ที่ได้รับ” อย่างน้อยๆ สังคมจะได้ประเมินอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องอิงกฏหมาย มองอย่างเป็นธรรมว่า การขอยกเลิกประกันเจอจ่ายจบของบริษัทประกันภัยนั้น “ชอบธรรม”หรือไม่
และเมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว คุณธรรมในตัวตนของแต่ละคนจะบอกเองว่า ยกเลิกเจอจ่ายจบแล้วเปลี่ยนเป็นความคุ้มครองอย่างอื่นตามที่บริษัทประกันภัยเสนอมาดีหรือไม่
แบบเดียวที่ท่านเลขาธิการคปภ.ขอไม่เบิกค่าสินไหมนั้นแล!
Mr. DISCLOSURE