นักลงทุนตัวแทนผู้เสียหายหุ้น STARK. วอนคืนความเป็นธรรมหลังถูกตัดสิทธิไม่ได้รับชดเชยความเสียหายจากการยึดทรัพย์ผู้กระทำผิด อ้างการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเกิดความเสียหายก็รับกันไปเอง ชี้รายย่อย2หมื่นรายมูลค่าความเสียหาย7หมื่นล้านกลายเป็นศูนย์ ไม่ใช่ความเสี่ยงปกติ แต่เกิดจากการตกแต่งปลอมแปลงบัญชีเท็จลวงแมงเม่าลงทุนและฉ้อโกงประชาชน “ทวี”รับช่วยอำนวยความยุติธรรม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องให้รอบคอบรัดกุม หวังกอบกู้ฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้ตลาดทุนไทยที่โดนผลกระทบหนัก
เมื่อวันจันทร์ที่ 2เมษายน 2567 ตัวแทนของกลุ่มนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ตกเป็นเหยื่อเสียหายจากหุ้น STARK จำนวนมากกว่า 20,000 คน มูลค่าความเสียหายรวมกันมากกว่า 73,000 ล้านบาท ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเรียกร้องอำนวยความยุติธรรมคืนให้กับผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยต้องนับเป็นผู้เสียหายโดยตรงที่ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิ์โดยจ่ายชดใช้สินไหมทดแทน จะยกเหตุอ้างว่า”การลงทุนในตลาดหุ้นย่อมมีความเสี่ยง เมื่อเกิดความเสียหายมาก็ต้องยอมรับ”ย่อมไม่ได้เพราะกรณีนี้ไม่ใช่การลงทุน และความเสี่ยงตามปกติธุรกิจ แต่เกิดจากการตกแต่งปลอมแปลงบัญชีเท็จ หลอกลวงผู้ลงทุน และทุจริตฉ้อโกงประชาชนอย่างผิดกฎหมาย
นายประเสริฐ (ขอสงวนนามสกุล) ผู้แทนของกลุ่มผู้ลงทุนที่เสียหายร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ว่า ครอบครัวของเขาเสียหายจากการลงทุนในหุ้น STARK จำนวน 140ล้านบาท และมีผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆอีกราว20,000คนที่ได้รับความเสียหาย โดยมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดเคยสูงถึงราว73,000ล้านบาท ตอนนี้ไม่เหลือมูลค่า เมื่อมีการดำเนินคดีต่อSTARKและผู้บริหารตอนแรกก็ดูจะได้รับความเป็นธรรม เพราะสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)แจ้งว่าได้อายัดทรัพย์จากผู้กระทำผิดเบื้องต้นราว3,000ล้านบาท มาชดเชยให้กับผู้เสียหาย แจ้งให้ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นSTARKยื่นคำร้องขอความคุ้มครองสิทธิประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 20 พฤษศจิกายน 2566 ( https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/12935.pdf )โดยให้แจ้งบัญชีซื้อขายหุ้นและมูลค่าการซื้อขาย หลักฐานการซื้อขายหุ้นมายังปปง.ภายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์2567 แต่แล้วในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางกรมสอบสวนพิเศษ(DSI)มีหนังสือแจ้งมายังผู้เสียหายที่เป็นผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ไม่เข้าข่ายเป็นผู้เสียหายโดยตรงในความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าบริษัทSTARKกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ลงทุนหุ้นสามัญ STARK จึงไม่สามารถระบุความเสียหายทางอาญาได้
นอกจากนั้น ไม่เพียงแต่ DSI แต่ส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง คือ ปปง. และกรมบังคับคดีต่างก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันคือ เห็นว่า ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นนั้นย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า”การลงทุนในหลักทรัพย์ย่อมมีความเสี่ยง”เมื่อเกิดผลเสียหายอันเกิดจากการลงทุนก็ย่อมต้องยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งผู้เสียหายจากการลงทุนในหุ้นSTARK ไม่ได้เห็นเช่นนั้น เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
1.กรณี STARK ไม่ได้เป็นการลงทุนและความเสี่ยงตามปกติในตลาดหลักทรัพย์ แต่ผู้บริหารบริษัทได้ยอมรับในภายหลังว่าเกิดจากการตกแต่งปลอมแปลงบัญชีเท็จ หลอกลวงให้ผู้ลงทุนเข้าใจผิด จากผลการดำเนินงานจริงขาดทุนมหาศาล แต่แจ้งเท็จว่ามีผลกำไรมหาศาล ทำให้ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หลงเชื่อเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน
2.ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท คือนายวนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ ได้กระจายขายหุ้นที่เคยถืออยู่มากกว่า 95% ออกมายังผู้ลงทุนประเภทสถาบัน และรายใหญ่ จากนั้นก็แจ้งผลการดำเนินงานอันเป็นเท็จ และผู้บริหารให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานอันเป็นเท็จทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นต่อจากผู้ลงทุนสถาบัน และรายใหญ่ที่จำหน่ายกันมาเป็นทอดๆ ผลประโยชน์ก็ย่อมไปตกอยู่กับผู้ถือหุ้นใหญ่ของ STARK ที่เป็นผู้กระทำความผิด ดังนั้นผู้ลงทุนรายย่อยย่อมถือเป็นผู้เสียหายโดยตรง
3.ต่อมา STARK ได้จำหน่ายขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงให้กับผู้ลงทุนประเภทสถาบันจำนวน 1,500 ล้านหุ้น หุ้นละ 3.72 บาท รวม 5,580 ล้านบาท อ้างว่าจะนำไปซื้อกิจการในประเทศเยอรมนีเพื่อขยายการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนประเภทสถาบันก็นำหุ้นที่ได้มา ขายในตลาดหลักทรัพย์ให้แก่ผู้ลงทุนรายย่อยเป็นทอดๆ ก็ย่อมนับได้ว่าผู้ลงทุนรายย่อยคือผู้เสียหายโดยตรงในความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน
การที่ส่วนราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง และได้ปฏิเสธที่จะชดใช้สินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่ผู้ลงทุนรายย่อย ทั้งที่เป็นผู้เสียหายโดยตรงจากการตกแต่งปลอมแปลงบัญชีเท็จ หลอกลวงให้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงประชาชนดังกล่าว ย่อมมีผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดทุนไทย จะเห็นได้ว่าหลังกรณีนี้ มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้หดตัวลงอย่างหนัก นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศพากันหยุดหรือชะลอการลงทุน และตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในโลก มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเสียหายไปมากกว่า 4 ล้านล้านบาท จึงขอวิงวอนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้โปรดอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดทุนไทยโดยเร็ว
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการะทรวงยุติธรรม กล่าวกับตัวแทนของผู้เสียหายที่เข้าพบหลังรับทราบปัญหาว่า จะได้ประสานงานกับส่วนที่เกี่ยวข้องในการกำกับของกระทรวงและส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น DSI กรมบังคับคดี และ ปปง.ได้พิจารณาอย่างรอบคอบรัดกุม เนื่องจากกรณีนี้ผู้เสียหายมีหลายส่วน ทั้งเจ้าหนี้สถาบันการเงิน เจ้าหนี้หุ้นกู้ สถาบันกองทุนที่ซื้อหุ้นล็อตใหญ่จากเข้าของSTARK ผู้ลงทุนที่ซื้อกองทุนLTFที่ลงทุนในSTARK และรวมทั้งผู้ลงทุนรายย่อยที่ลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ การที่จะอำนวยความยุติธรรมชดใช้ความเสียหายให้เพียงผู้เสียหายบางกรณี และไม่อำนวยความยุติธรรมให้กับบางกรณีนั้น ไม่อาจกระทำได้ รัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อฟื้นฟูกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ตลาดทุนไทย
ในวันเดียวกัน ตัวแทนผู้เสียหายจากการลงทุนหุ้นSTARKได้เดินทางเข้าพบผู้บริหารของDSI เพื่อเรียกร้องให้พิจารณาทบทวน โดยขอให้อำนวยความยุติธรรมคืนให้กับผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยต้องนับเป็นผู้เสียหายโดยตรงที่ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิ์โดยจ่ายชดใช้สินไหมทดแทน ซึ่งผู้แทนของDSIกล่าวว่า อาจจะได้ประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสำนักงานอัยการสูงสุด โดยอาจขอให้ทบทวนใส่ในหมายเหตุท้ายฟ้อง รวมผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้เสียหายโดยตรงด้วย อย่างไรก็ตามขึ้นกับการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดด้วยว่าจะพิจารณาเป็นประการใด