บลจ.กสิกรไทย เปิดมุมมองการลงทุนเชิงลึกทั่วโลกผ่าน Know The Markets โดยแนะนำให้ผู้ลงทุนไทย Stay Invested ชี้การเลือกตั้งสหรัฐฯ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก มองกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโต รัฐบาลอินเดียเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานส่งผลบวกในระยะยาว และการปรับสถานะของเวียดนามเป็น Emerging Markets จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้เพิ่มขึ้น ส่วนไทยคาดว่าจะ Upside ในไตรมาสที่ 4 จากเม็ดเงินลงทุน ThaiESG และโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์, CFA, Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย และพาร์ทเนอร์ระดับโลก J.P. Morgan Asset Management ร่วมเปิดมุมมองการลงทุนเชิงลึกทั่วโลกผ่าน “Know The Marketsสุดยอดคัมภีร์การลงทุนที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อผู้ลงทุนไทย” โดยในไตรมาสที่ 3 ยังคงแนะนำให้ผู้ลงทุนมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) ให้น้ำหนักไปที่หุ้นสหรัฐฯ อินเดีย และเวียดนาม รวมถึงตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ความผันผวนในตลาดหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเข้าใกล้วันเลือกตั้งโดยในระยะสั้น เม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้ากลุ่มธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายของผู้สมัครที่มีแนวโน้มจะได้รับการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด และกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดต่อการตัดสินใจลงทุน
“การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง เงินเฟ้อทยอยปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ 2% อย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสูงกว่าประเทศอื่นๆ ทางด้านเศรษฐกิจอินเดียภายใต้การนำของนาย Modi ที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 3 ทำให้นโยบาย 5 ปีต่อจากนี้มีความต่อเนื่อง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังคงเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างงาน และการพัฒนาชนบท ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดียในระยะยาว สำหรับเศรษฐกิจเวียดนาม ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศและการส่งออก ประกอบกับแนวโน้มการแข็งค่าของเงินด่องเมื่อ Fed เริ่มลดดอกเบี้ย และความชัดเจนของโอกาสที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะถูกปรับสถานะขึ้นเป็นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) จากเดิมที่มีสถานะเป็นกลุ่มประเทศชายขอบ (Frontier Markets) ซึ่งจะทำให้มีเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น” นายวจนะกล่าว
นายวจนะกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย มองว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยตลาดหุ้นไทยจะได้รับปัจจัยบวกจากเม็ดเงินลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่คาดว่าจะเริ่มสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศได้ในไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยยังเป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มองเป้าหมายดัชนี SET ปลายปีที่ 1450-1500 จุด คาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 14% ในปีนี้ และเติบโตต่อเนื่องที่ 13% ในปีหน้า โดยระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) Forward PE ปัจจุบันยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง สำหรับตราสารหนี้ไทยในช่วงนี้มองเป็นโอกาสเข้าสะสมตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ ระยะสั้น-กลาง โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอยู่ที่ประมาณ 2.55% – 2.7%