นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)(KTAM) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทั่วโลกต่างจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.67 นี้ ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และคามาลา แฮร์ริส ซึ่งมีคะแนนเสียงค่อนข้างใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม จากนโยบายการหาเสียงที่ต่างกันจึงส่งผลอย่างมีนัยยะต่อทิศทางการลงทุนในอนาคตอย่างชัดเจน โดย KTAM ได้มีมุมมองหลังการประกาศผลการเลือกตั้งทั้ง 2 กรณี ดังนี้
จากนโยบายที่โดดเด่นในการหาเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ อาทิ การสนับสนุนให้ผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน การลดภาษีนิติบุคคลในสหรัฐฯ ลงจาก 21% เหลือเพียง 15% ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ การเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 60% และจากประเทศอื่น ๆ เป็น 10% เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ หันมาลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น รวมไปถึงท่าทีที่แข็งกร้าวกับจีน อาจทำให้การส่งออกสินค้าของจีนเผชิญความลำบากมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อบริษัทในญี่ปุ่นให้ก้าวเข้ามาค้าขายแทนจีนได้ อีกทั้งการมุ่งเน้นการเติบโตของสหรัฐฯ ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะเพิ่มสูงขึ้น เฟดอาจจะลดดอกเบี้ยไม่ได้ตามคาด ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงซึ่งดีต่อบริษัทในญี่ปุ่นด้วย จึงมองว่าหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง กองทุนที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ได้แก่
KT-ENERGY (ความเสี่ยงระดับ 7) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน BGF World Energy Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทชั้นนำทั่วโลกซึ่งมีธุรกิจหลักในการสำรวจ พัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายพลังงาน นอกจากนั้น กองทุนยังอาจลงทุนในบริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพลังงานทดแทน, KT-US (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน AB American Growth Portfolio (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่ มีแนวโน้มในการเติบโตดี มีคุณภาพสูง, KT-Finance (ความเสี่ยงระดับ 7) เน้นลงทุนใน Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นทุนทั่วโลกของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านการเงินแก่ผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก
KT-JPFUND (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน iShares Core Nikkei 225 ETF (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในตราสารทุนที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีนิคเคอิ 225 ในสัดส่วนเดียวกับจำนวนหุ้นในดัชนีนิคเคอิ 225 นอกจากนี้ ยังมีกองทุน ที่น่าสนใจจากการที่ทรัมป์ต้องการให้สหรัฐฯ เป็น “Crypto Capital of the Planet” ได้แก่ KT-Blockchain (ความเสี่ยงระดับ 6) ซึ่งจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ อาทิ หน่วย CIS และ/หรือ กองทุนรวมอีทีเอฟ (กองทุนปลายทาง) ตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป ที่มีกลยุทธ์เน้นลงทุนในบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets Companies) และ/หรือบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและ/หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัล และ/หรือเทคโนโลยีบล็อกเชน ในขณะที่นโยบายการหาเสียงของแฮร์ริส มีนโยบายที่โดดเด่น คือ การกระจายรายได้ที่ดีขึ้น โดยจะมีการลดภาษีให้ธุรกิจขนาดเล็กรวมถึงคนชั้นกลาง และสนับสนุนสวัสดิการด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษา พร้อมทั้งเพิ่มรายได้รัฐโดยการเพิ่มภาษีนิติบุคคลในสหรัฐฯ เป็น 28% จาก 21%และอาจมีการเพิ่มภาษี “คนรวย” อีกด้วย นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยกองทุนที่คาดว่าจะได้ประโยชน์หากแฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง ได้แก่
KT-GREEN (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Schroder International Selection Fund Global Energy Transition (กองทุนหลัก) โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของเงินลงทุนในหุ้นบริษัททั่วโลก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานคาร์บอนต่ำ, KT-Technology (ความเสี่ยงระดับ 7) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนFidelity Funds - Global Technology Fund (กองทุนหลัก) โดยเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก รวมถึงประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีการพัฒนา/หรือจะมีการพัฒนา ด้านผลิตภัณฑ์ กระบวนการหรือการให้บริการ หรือที่จะได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าหรือการพัฒนาเทคโนโลยี, KT-ASEAN (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนใน JPMorgan Funds – ASEAN Equity Fund (กองทุนหลัก) โดยเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัท (รวมถึงบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนที่มีขนาดเล็กกว่า) ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในหรือมีผลการดำเนินงานหลักของบริษัทมาจากประเทศที่เป็นสมาชิกในกลุ่มอาเซียน ซึ่งประเทศในกลุ่มอาเซียนบางประเทศ อาจถูกพิจารณาให้เป็นประเทศตลาดเกิดใหม่
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนที่น่าสนใจคือ KT-HiDiv(ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี สม่ำเสมอ จากการที่คาดว่าแฮร์ริส อาจจะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจาก ปธน. ไบเดน จึงส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในขาฟื้นตัวตามวัฎจักร แม้ว่าจะมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องได้รับแก้ไข แต่การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว มาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ และความเชื่อมั่นต่อตลาดที่ค่อยๆ ดีขึ้น น่าจะเป็นตัวผลักดันตลาดหุ้นไทยได้ในช่วงถัดไปอย่างไรก็ตาม หากพรรคของประธานาธิบดีไม่ได้คุมเสียงข้างมากในทั้งสองสภา (Split Congressจากการเลือกตั้งของ สส. และ สว. อาจทำให้การผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ยากขึ้น