บทความ

บลูเบลล์เจาะลึก 4 ธีม B-L-U-E เสริมพอร์ตชนะตลาดปี 2025
16 ธ.ค. 2567

เราเดินทางมาถึงช่วงเวลาปลายปีอีกครั้ง เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนหลายๆท่านใช้ในการรีวิวพอร์ตการลงทุนของตัวเอง ที่ลงทุนกันมาตลอดทั้งปี ซึ่งในปี 2024 ถือว่าเป็นปีที่ตลาดการลงทุนค่อนข้างสดใส แม้จะมีบางช่วงจังหวะที่ตลาดเกิดความผันผวนบ้าง โดยสินทรัพย์การลงทุนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นสหรัฐฯ หุ้นเอเชีย อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ รวมถึง คริปโทเคอร์เรนซีก็ล้วนสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี 

 

อย่างไรก็ตามโลกการลงทุนก็ต้องเดินต่อไป ในสิ้นปีแบบนี้เราต้องมองต่อว่า “แล้วปี 2025 ตลาดการลงทุนจะเป็นอย่างไรต่อ” สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีเหมือนกับในปี 2024 หรือไม่ ? เราจึงอยากมาขอแชร์มุมมองการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2025 ด้วย 4 ธีมการลงทุน คือ B-L-U-E

 

1. Build Portfolio on the America First Policy 

การกลับมาของ Donald Trump ที่มาพร้อมนโยบายหลัก “America First” ที่จะทำให้สหรัฐฯเติบโตแข็งแกร่งในทุก ๆ ด้าน ดังนั้นพอร์ตการลงทุนของเราก็ควรต้องปรับเป็น America First ตามนโยบายของผู้นำประเทศมหาอำนาจของโลกเช่นกัน 

"เราแนะนำว่าในปี 2025 Core Portfolio ของนักลงทุนควรต้องเป็นกองทุนหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากนโยบายของ Trump ค่อนข้างสนับสนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นต่อ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคล ที่ช่วยให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มมากขึ้น  นโยบายตั้งกำแพงภาษี และนโยบายผู้อพยพของ Trump มีแนวโน้มช่วยให้คนอเมริกันมีรายได้ และ การบริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเติบโตตาม โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กที่มีรายได้จากในประเทศเป็นหลัก เรามองว่าในปี 2025 กองทุนหุ้นสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ หรือ ขนาดเล็กมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ต่อ แต่สปอตไลท์น่าจะจับไปที่หุ้นขนาดเล็กมากกว่า เนื่องจากระดับ Valuation มีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และหลายบริษัทเริ่มพลิกฟื้นจากขาดทุนมามีกำไรมากขึ้น"

 

2. Lower interest rates trend

อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังเป็นขาลงต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางหลักๆของโลกได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 2024 โดยประเทศหลักที่เราต้องติดตาม คือ สหรัฐฯ ที่เรียกได้ว่ามีส่วนในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินทั่วโลก เราคาดว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2025 ซึ่งจะปัจจัยช่วยหนุน Sentiment ของตลาดการลงทุน และจำกัด Downside ของตลาดหุ้นสหรัฐฯในปีหน้า โดยในปัจจุบันอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่พุ่งขึ้นมาที่ระดับ 4.3-4.5% เรามองว่าได้สะท้อนผลกระทบการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) กับประเทศอื่นทั่วโลกไปแล้ว ดังนั้นหากในปีหน้า FED ปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง หรือ 0.75% ตามที่เราคาดไว้ น่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.75% ดังนั้นในปี 2025 สินทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์ในภาวะดอกเบี้ยขาลงอย่าง REITs หรือ  ตราสารหนี้ ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ สำหรับกองทุนตราสารหนี้ เรามองว่าควรเลือกกองทุนที่มีอายุเฉลี่ยตราสาร (Duration) ที่ยาว ประมาณ 3 ปีขึ้นไป เพื่อที่จะได้สร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวลง

 

3. Upturn in Asian market

เรามองว่าในปี 2025 ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง ทาง IMF ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทษเอเชียเกิดใหม่ อาทิเช่น จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ไทย, เวียดนาม และอื่นๆ จะสามารถเติบโตได้ถึงระดับ 5.1% หากเทียบกับตลาดพัฒนาแล้วที่ IMF คาดการณ์ว่าจะโตได้เพียง 1.8% ในปี 2025 ประกอบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน และ ระดับ Valuation ที่มีความน่าสนใจ 

 

ส่วนด้าน Fund Flow เราคาดว่าในปี 2025 มีโอกาสที่สกุลเงิน US dollar จะเริ่มอ่อนค่าลงคล้ายกับช่วงปี 2016-2017 ที่ Dollar แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ Trump ชนะการเลือกตั้ง และเริ่มอ่อนค่าคงในปีถัดไป ซึ่งการที่ Dollar อ่อนค่าลงจะหนุนให้ Flow ไหลเข้าตลาดเอเชียมากขึ้น  โดยเราแนะนำให้ลงทุนในประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง และมีความเป็นกลางในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ได้แก่ ตลาดหุ้นอินเดียที่มีเศรษฐกิจเติบโตระดับสูงและโดดเด่นกว่าประเทศอื่น ๆ จากภาครัฐที่ใช้นโยบายการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่รัฐบาลสนับสนุนภาคธุรกิจ ผลักดันการเติบโตของประเทศในระยะยาว รวมถึงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น และเตรียม Upgrade เข้าสู่ Emerging market ในปี 2025

 

4. Expand The AI Opportunity

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง นำโดยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้ง 7 ตัวของสหรัฐฯ หรือ MAG7 โดยเราคาดว่าแนวโน้มในปีหน้าก็ยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากกำไรของหุ้นกลุ่มเหล่านี้ยังเติบโตในระดับที่สูง หลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น Healthcare, AI, Cloud Computing และ Data Center  ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และอาจมีนวัตกรรมใหม่ๆที่มาช่วยผลักดันการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น อย่างไรก็ตามนอกจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เรามองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ นอกจาก MAG7 ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ข้อมูลจาก Consensus คาดการณ์ว่ากำไรของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่นอกเหนือจาก MAG7 จะมีอัตราการเติบโตของกำไรในช่วง 2 ปีข้างหน้าที่ 36% และ 17% ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่ม MAG7 มีอัตราการเติบโตของกำไรใน 2 ปีข้างหน้าที่ 21% และ 14% ตามลำดับ  เราแนะนำว่าการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2025 ควรมีการลงทุนใน MAG7 ติดพอร์ตไว้เนื่องจากแนวโน้มยังแข็งแกร่ง แต่ควรต้องเพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีการกระจายการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่หลากหลายมากขึ้น

 

โดยสรุปแล้ว เรามองว่าในปี 2025 จะยังคงเป็นปีที่ดีกับตลาดการลงทุน แม้จะมีโอกาสเผชิญความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นจากการกลับมาของ Donald Trump แต่หากเราพิจารณาจากปัจจัยหลายๆด้าน จะพบว่า พื้นฐานของเศรษฐกิจ และตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯหรือเอเชียก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง พร้อมกับนโยบายการเงินทั่วโลกที่ผ่อนคลายก็ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุน

 

เราแนะนำว่านักลงทุนควรจัดพอร์ตการลงทุนให้มีความเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ในพอร์ตการลงทุนควรลงทุนในกลุ่มที่มีเทรนด์แข็งแกร่งเป็น “Core Portfolio” ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยสัดส่วนที่แนะนำ คือ 60-80% ของพอร์ต และ เสริมด้วย “Satellite Portfolio” ที่สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ได้แก่ หุ้นอินเดีย หุ้นเวียดนาม หุ้นสหรัฐฯขนาดเล็กในสัดส่วน 20-40% ของพอร์ต

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com