"ปัญญา บุญญาภิวัฒน์" แม่ทัพใหญ่ บีจิสติกส์ ย้ำชัดปี 2566 ธุรกิจเทิร์นอะราวด์ ชูกลุ่มขนส่งมาแรง ขณะที่ธุรกิจพลังงานทางเลือกที่ลงทุนผ่าน "เดอะ เมกะวัตต์" หนุนผลประกอบการกลุ่ม B เติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืน เดินหน้าขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โฟกัสรายใหญ่ ลั่นแผนยุทธศาสตร์ใหญ่ยังมั่นคง ปูทางสู่ Green Logistics - Green Utilities
ดร.ปัญญา บุญญาภิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ B เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า ถือเป็นปีที่กลุ่ม B มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ และเชื่อมั่นว่าจะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์อย่างชัดเจน ภายหลังจากที่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มให้สอดคล้องกับเป้าหมายไปสู่ การทำธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Logistics รวมทั้งการเข้าไปลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Utilities ตามแผนยุทธศาสตร์ของกลุ่ม
ภาพรวมผลประกอบการของ B ปรับตัวดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากตัวเลขผลประกอบงวดสิ้นปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 129.52 ล้านบาท ขณะที่มีตัวเลขขาดทุนสะสม 53.90 ล้านบาท และล่าสุดงวด 9 เดือนปี 2565 มีกำไรสุทธิ 34.6 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขขาดทุนสะสมลดลงเหลือเพียง 19.24 ล้านบาท และมีตัวเลขสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)เพียง 0.2 เท่า
“ผลประกอบการของ B ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากธุรกิจหลักคือ ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ลดต้นทุนพลังงาน โดยใช้รถขนส่งที่เติมแก๊สเอ็นจีวี แทนการใช้น้ำมันมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนแล้ว ยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยของเสียในอากาศ สอดคล้องกับนโยบายหลักของกลุ่ม B คือการทำธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Logistics “ดร.ปัญญา กล่าว
แม่ทัพใหญ่ บีจิสติกส์ กล่าวว่า กลยุทธ์ทางด้านการตลาด เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ช่วยผลักดันธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของกลุ่มB ให้มีการเติบโตก้าวกระโดด โดยปีนี้เราจะขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย โฟกัสลูกค้ารายใหญ่ที่มีความต้องการใช้บริการกองรถปริมาณที่มาก สอดคล้องกับจำนวนรถหัวลากของบริษัทที่มีอยู่จำนวน 66 คัน โดยตั้งเป้าว่าในปีหน้ารถหัวลากที่เป็นของบริษัททั้งหมดจะให้บริการเฉพาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่100% ส่วนลูกค้าทั่วไปจะใช้บริการซับคอนแทรคที่เป็นพันธมิตรแทน
สำหรับการลงทุนด้าน Green Utilities บริษัทลงทุนผ่าน บริษัท เดอะ เมกะวัตต์ จำกัด ประกอบธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกทั้งในประเทศและต่างประเทศ ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้ใส่เงินลงทุนเพิ่มอีก 300 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็นกว่า 46% ของทุนจดทะเบียนมติพิเศษ ซึ่งการขยายเงินลงทุนในครั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตในอนาคต เนื่องจากมองว่าธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มีการซื้อขายในรูปแบบของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระยะยาวประมาณ 25-30 ปี จึงเป็นการการันตีรายได้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนในเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว คือ โครงการโซลาร์ฟาร์ม SSG ภายใต้บริษัทย่อยสยาม โซลาร์ ที่อยู่ในชัยภูมิ กำลังการผลิต 27 เมกะวัตต์ โดยได้ COD ไปแล้วตั้งแต่ปี 56 ถือว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เสริมเข้ามาให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง
ในปี 2564 บริษัท เดอะ เมกะวัตต์ มีกำไรสุทธิ 135 ล้านบาท และปี 2565 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และน่าจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีส่วนช่วยผลักดันผลประกอบการของกลุ่ม B เติบโตอย่างโดดเด่นในปีนี้
“ปีนี้กลุ่มที่โดดเด่นคือ ขนส่ง และพลังงานทางเลือก ส่วนธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบ ที่ดำเนินธุรกิจผ่าน บริษัทเทพฤทธา จำกัด ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี ปีนี้ผมเชื่อมั่นว่าจะเป็นปีที่ดีของ B และมีโอกาสล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายในปีนี้”ดร.ปัญญา กล่าว