Interview

จับตา! หุ้นน้องใหม่ FTI ลั่นระฆังเทรดพรุ่งนี้ ลุ้นปันผลพิเศษ…ก้าวไปกับแผนธุรกิจโตกระโดด
18 พ.ค. 2565

ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยพลิกกลับมาคึกคักอีกครั้ง ถือเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับหุ้นน้องใหม่ที่พาเหรดเข้าเทรดในสัปดาห์นี้ สำหรับ บริษัท ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) หรือ FTI ผู้ประกอบธุรกิจผลิต นำเข้าและขายส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับระบบน้ำ (Water Treatment) ครบวงจร ได้แก่ เครื่องกรองน้ำ ไส้กรอง สารกรอง ปั๊มและวาล์ว ตลอดจนอุปกรณ์สำหรับเครื่องกรองน้ำ รวมถึงการให้บริการที่เกี่ยวข้อง

 

ภายใต้ผู้นำทัพ ดร.วิกร ภูวพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FTI ที่เตรียมลั่นระฆังเทรดวันแรกวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 นี้

 

ราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO)ของ FTI หุ้นละ 2.50 บาท ราคาพาร์  1 บาท จะเข้าเทรดในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

 

วันนี้เชื่อว่า นักลงทุนรายย่อยคงถามหาราคาเปิดนกระดาน SET กันจ้าละหวั่น  ในภาวะหุ้นดีดตัวกลับแรงแบบนี้ จะขายอะไรตัดสินใจด้วยอารมณ์ผลีผลาม อาจจะเสียดายกันได้ “คลับหุ้น” อยากให้มาติดตามดู FTI มีดีอะไรกันให้มากขึ้นก่อน กับเส้นทางธุรกิจที่ผู้ถือหุ้นใหญ่และซีอีโอ “ดร.วิกร” หมายมั่นปั้นมือให้เติบโตแบบก้าวกระโดด นั่นหมายความว่า FTI ไม่ใช่แค่ Growth Stock ธรรมดา แต่ปักธงเป็น  “Jumping Growth Stock”  เพราะธุรกิจเทรดดิ้งมีตั้งแต่ เครื่องกรองน้ำ ไส้กรอง สารกรอง ปั๊มและวาล์ว ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงการให้บริการที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แบรนด์กว่า 23 แบรนด์ และดีลเลอร์กว่า 600 ร้านค้าในรูปแบบร้าน Water Store  ซึ่ง FTI ครอบคลุมฐานผู้บริโภคทุกกลุ่มหลัก ไม่ว่าจะเป็น ผู้ใช้ครัวเรือนตามบ้าน  กลุ่มผู้ใช้เชิงพาณิชย์ และกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ 

 

หุ้น FTI จัดเป็นหุ้น Cash Cow ก็ว่าได้ เพราะก่อนเข้าตลาดหุ้นก็มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D:E ต่ำมากแค่ 0.6 เท่า แม้ค่าพี/อี หุ้นราว 30 เท่าก็ตาม แต่ธุรกิจเทรดดิ้งเครื่องกรองน้ำและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง เจ้าของบอกเน้นซื้อขายด้วยเงินสด และแม้บริษัทใช้วงเงินกู้หมุนเวียนทำธุรกิจกับสถาบันการเงิน ก็ยังได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า 3% อีก สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน ระดับเครดิตดี หลังเข้าตลาดหุ้น D:E จะยิ่งลดต่ำลงไปอีก เพราะระดมทุนได้กว่า 325 ล้านบาท

 

ดร.วิกรให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “คลับหุ้น” ว่า ผมนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น ไม่ใช่เพราะต้องการเงินทุนมากมาย แต่ต้องการเข้ามาอยู่ในตลาดทุนที่จะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อบริษัทหลายด้าน เป็นการยกระดับขึ้นสู่ระบบที่มีมาตรฐานสากล การนำมาซึ่งการได้รับความเชื่อถือและโอกาสการทำธุรกิจที่ดี ที่สำคัญ สามารถเติบโตก้าวกระโดดและสร้างความมั่นคงในระยะยาว

 

ซีอีโอหนุ่มไฟแรง ฉายภาพว่า ก้าวแรกหลังจากระดมทุนได้ 325 ล้านบาทแล้ว จะนำไปลงทุนตามแผนระยะ 3 ปี (2565-2567) ตามที่ได้ประกาศไว้ (ดูกราฟฟิกจบในหน้าเดียว) โดยในส่วนแรกก้อนใหญ่กว่า 150-165 ล้านบาท จะนำไปขยายตัวแทนจำหน่ายหรือดีลเลอร์ช่วง 3 ปี ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนตกแต่งอาคารจัดแสดงสินค้าฯ ซื้อเครื่องจักรการผลิต ขยายฐานผลิตภัณฑ์กลุ่มปั๊มและหัว พัฒนาระบบ IT ลงทุนระบบใหม่ๆ

 

 ซึ่งปีนี้เริ่มไปแล้วขยายสาขา Water Store 1 สาขาเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จากเป้าหมายขยาย 5 สาขา และจะเน้นขยายร้าน Aquatek จำนวน 50 สาขา เพื่อรุกตลาดค้าปลีกกลุ่มใหม่ คือ ลูกค้ะดับบน

 

เพราะฉะนั้น ปีนี้ จึงต้องเน้นสื่อสารการตลาดแบรนด์  Aquatek นี่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงและมีความต้องการบริโภคน้ำที่มีคุณภาพ ซึ่งเรามีเครื่องกรองน้ำที่หลากหลายตอบโจทย์ผู้ใช้กลุ่มนี้

 

“ในเบื้องต้น จะค่อยๆเห็นการเติบโตของกลุ่มพรีเมี่ยม จากการเปิดร้าน Aquatek ผ่านดีลเลอร์ที่คัดเลือกมาก่อนกว่า 100 ร้านค้า ซึ่งได้มีการพูดคุยกับดีลเลอร์เข้าใจกันแล้ว โดยเครื่องจะถูกขายผ่านดีลเลอร์  หากเมื่อเราเปิดร้าน Aquatek จะถอนตัวออกมาทำเอง ซึ่งดีลเลอร์ยังมีแบรนด์เราอีกจำนวนมากที่ขายอยู่ปกติ อีกอย่าง การเลือกพื้นที่เปิด Aquqtek ก็ทำเป็น Step by Step  แต่เราทำแผนธุรกิจ 3 ปี ตั้งเป้าตลาดพรีเมี่ยมค่อยๆเติบโต ก็จริง แต่ไม่ใช่แค่ได้พวกตามบ้านเท่านั้น สิ่งที่จะได้ตามมาอีก คือ ส่งผลต่อภาพสินค้าตัวอื่นๆที่เป็นทั้งเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของเราด้วย”

 

อย่างไรก็ตาม ในการเปิดร้าน Aquatek บริษัทจะให้เกียรติแก่ดีลเลอร์ในการตัดสินใจที่จะลงทุนด้วยเช่นกัน โดยเขาเป็นเจ้าของร้านลงทุนเช่าหรือซื้อตึก  ทาง FTI จะเป็นคนทำหน้าร้าน สินค้าและคอนเช็ปต์  เพราะต้องการคอนโทรลภาพรวมด้านการตลาด   ขระที่เราต้องการความเชี่ยวชาญจากดีลเลอร์ เพื่อเข้าไปให้บริการลูกค้าเวลาจะซื้อเครื่องกรองการเข้าไปทดสอบคุณภาพน้ำที่เหมาะสมกับตัวเครื่องกรองที่ช่วยทำให้น้ำมีคุณภาพที่ดีในการบริโภค

 

“สิ่งที่จะจูงใจต่อผู้ที่เข้ามาทำร้าน Aquatek คือ การแบ่งกำไรกัน เดิมเราเฉลี่ยเหลือ 30%ในตลาดที่เป็น household product ก็อาจจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 40%ในกลุ่มนี้ เพราะว่า ในราคาขายส่งและราคาขายปลีก ต่างกันเยอะ Gross Profit กลุ่มพรีเมี่ยมก็จะสูงกว่า ในอนาคตหากเปิดร้านได้ตามแผนงานจะเห็นสัดส่วนรายได้จากยอดขายกลุ่มครัวเรือนแซงหน้ากลุ่มพาณิชย์ “

 

ปัจจุบัน สัดส่วนยอดขายของ FTI ประกอบด้วย ตลาดเชิงพาณิชย์สัดส่วน 33-35%ของยอดขายรวมทั้งหมด ตามด้วยตลาดครัวเรือนหรือตามบ้าน 32-33% ส่วนที่เหลือเป็นภาคอุตสาหกรรม แต่คิดว่า เป้าหมายในระย 3 ปี สัดส่วนรายได้จากกลุ่มครัวเรือนจะเติบโตแซงกลุ่มตลาดเชิงพาณิชย์

 

“แบรนด์  Aquatek จะเป็นตัวดึง 2 กลุ่มนี้(กลุ่มพาณิชย์และอุตสาหกรรม) ตามขึ้นไป เพราะว่า แบรนด์ Aquatek ทำไส้กรองน้ำ และอื่นๆ แน่นอนว่า ในออฟฟิศ(อยู่ในกลุ่มเชิงพาณิชย์) ก็ต้องใช้ และไปสู่ตลาดที่เป็นออฟฟิศ โรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร  เขาก็จะได้เครื่องกรองที่มีคุณภาพ ก็จะโตล้อกันขึ้นไป ซึ่งก็จะมี gross Profit เพิ่มขึ้นมาอีกได้ราว 10%”

 

สำหรับภาพรวมการเติบโตของธุรกิจน้ำ หากดูข้อมูลที่มีการเปิดเผย ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมมีมูลค่าประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท และเชิงพาณิชย์ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แต่จริงๆ ตลาดน่าจะใหญ่กว่านี้เมื่อรวมส่วนที่ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลโดยรวมทั้งหมด

 

ดร.วิกร บอกว่า  ที่ผ่านมา FTI เคยทำผลสำรวจมีมาร์เกตแชร์ในตลาดไม่ถึง 1% ดังนั้น จึงมองว่าเป็นโอกาสของเราที่จะรุกตลาดที่ใหญ่นี้ได้ โดยมองว่า การเติบโตของตลาดเชิงพาณิชย์ ปีละ 20-30% ซึ่งที่ผ่านมา FTI ทำได้อยู่แล้ว

 

 ปีนี้จึงมั่นใจว่า FTI ที่เป็นเบอร์หนึ่งของตลาดเชิงพาณิชย์จะเติบโตก้าวกระโดด   และจะกลับไปเท่าปี 2563  ที่มีรายได้จากการขายกว่า 860 ล้านบาท กำไรขั้นต้นกว่า 244 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 70 ล้านบาท และหากดำเนินงานตามแผนแล้ว มีโอกาสจะเห็นรายได้จากการขายทะลุ 1,000 ล้านบาทได้ในปีหน้า อย่างไรก็ตาม  FTI ปักธงการเติบโตไม่ต่ำกว่า 25-30% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า

 

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทอ่อน แม้ว่า FTI จะเป็นผู้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำเข้าสินค้า อย่างไรก็ตาม ด้านความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ปกติบริษัทมีการบริหารจัดการค่าเงินอยู่แล้ว ประกอบกับราคาขายของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะปรับไปตามอัตราแลกเปลี่ยน จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

 

ด้านการแข่งขันหั่นราคาในตลาดเครื่องกรองน้ำที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยความที่บริษัทมีแบรนด์ค่อนข้างมากถึง 23 แบรนด์ จึงทำให้สามารถทำการตลาดด้วยการเลือกแบรนด์ที่เหมาะสมขึ้นมาทำตลาดราคาต่ำได้ ซึ่งจะทำให้ FTI มีกลยุทธ์ในการทำการตลาดได้อีก

 

เส้นทางการเติบโตของ FTI ก้าวกระโดดไกลแค่ไหน วางกลยุทธขยายเต็มแม๊กซ์ จัดยุทธศาสตร์ที่ปังๆ จะเป็นบทพิสูจนที่ต้องติดตามกันต่อไป ด้านราคาหุ้นจะขยับจากเลขหลักเดียวสู่เลข 2 หลัก ขานรับปัจจัยพื้นฐานแรงแค่ไหน ผลดำเนินงานจะเป็นตัวตอบโจทย์ที่ดี อย่างน้อย เราจะได้เห็นการประกาศผลดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ออกมาก่อน

 

สำหรับหุ้นน้องใหม่ FTI จะมีข่าวดีต่อใจเสิร์ฟนักลงทุนช่วงเข้าตลาดหุ้นหรือไม่ คงต้องลุ้นกันพรุ่งนี้ ว่าจะประกาศแจกผลตอบแทนพิเศษ เช่น เงินปันผล หรือไม่ เพราะมักเห็นหุ้นน้องใหม่ป้ายแดงมักจะใช้เป็นกิมมิก ดึงดูดนักลงทุนให้ถือกันยาวๆ และบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลทุกปี 40%ของกำไรสุทธิ

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com