หากพูดถึงบริษัทแถวหน้าธุรกิจด้านปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG จากวิศกรไทยกลุ่มเล็กๆ ที่ร่วมใจก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2521 จนปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ให้บริการแบบครบวงจรในหลากหลายสาขา ทั้งคมนาคมและโลจิสติกส์ อาคารและสาธารณูปโภคพื้นฐาน แหล่งน้ำ สิ่งแวดล้อม พลังงาน การบริหารจัดการ และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ มีผลงานเป็นที่ยอมรับกว่า 2,000 โครงการทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค
"คลับหุ้น" มีโอกาสสัมภาษณ์ ดร.อภิชาติ สระมูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TEAMG เพื่อฉายภาพธุรกิจช่วงที่ผ่านมา และทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกัน
ดร.อภิชาติ บอกว่า ทีมกรุ๊ป ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรตั้งแต่การศึกษา ออกแบบ จัดทำรายงาน บริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึงการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน TEAMG ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐให้ดำเนินโครงการใหญ่ๆ หลายโครงการ เช่น
- โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 1 คลองหก อำเภอธัญบุรี ปทุมธานี บนเนื้อที่ 300 ไร่ จากองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (อสส.) ซึ่งบริษัทเข้าร่วมในนามกิจการร่วมค้า อาร์เอสดีที มูลค่าโครงการ 5,354 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าสัญญาในส่วนของบริษัท 535.40 ล้านบาท
- ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ ระยะที่ 2 โครงการจัดการสร้างพิพิธภัณฑ์ องค์ความรู้เรื่องไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธี บรมราชาภิเษก ในนามกิจการร่วมค้า อาร์เอสดีที มูลค่าโครงการ 2,044 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าสัญญาในส่วนของบริษัท 500.78 ล้านบาท
- ได้รับการว่าจ้างจาก บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ในการสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 มูลค่าสัญญา 114.11 ล้านบาท
ดร.อภิชาติ บอกว่า ปัจจุบัน TEAMG มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ราว 5,600 ล้านบาท แบ่งเป็นงาน 2 ส่วนหลักๆ คือ งานด้านที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงงานโครงการก่อสร้าง (Engineering Procurement Contract; EPC) ประมาณ 4,800 ล้าน และงานในส่วนของการลงทุน เช่น ลงทุนในโครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซล่าร์รูฟท็อปให้กับโรงงาน, โครงการระบบผลิตน้ำประปาเพื่อใช้ในโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ โรงพยาบาลหลักของจังหวัดนครสวรรค์ และโครงการระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางฯ ให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สมาร์ทดิสทริคท์คูลลิ่ง) อีกประมาณ 800 ล้าน รวม 2 ส่วน ก็ประมาณ 5,600 ล้านบาท และยังมีงานเข้ามาเรื่อยๆ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ Backlog น่าจะถึง 6,000 ล้านบาท
ทำให้ในช่วงนี้ TEAMG จึงต้องพยายามโฟกัสธุรกิจ EPC เพื่อเร่งดำเนินโครงการที่ได้รับการว่าจ้าง และงานที่เราลงทุนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนธุรกิจที่ปรึกษาฯ ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงรักษาการเติบโตต่อไป ซึ่งงานด้านที่ปรึกษา ส่วนมากจะเป็นงานภาครัฐ ขึ้นอยู่กับงบประมาณเป็นหลัก ซึ่งงบประมาณปี 2567 ล่าช้าพอสมควร เพราะเพิ่งได้รัฐบาลใหม่ คาดว่ากว่าจะได้รับอนุมัติก็เมษายนปีหน้า จะใช้ได้จนถึงตุลาคม ซึ่งรัฐบาลคงจะต้องเร่งออกโครงการเพื่อจะได้ไม่ข้ามปีงบประมาณ
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุด 30 กันยายน 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 446.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 4.5% และมีกำไรสุทธิ 30.52 ล้านบาท
ส่วนงวด 9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้ 1,251.31 ล้านบาท และมีกำไร 97.09 ล้านบาท
คาดว่าทั้งปีน่าจะมีรายได้มากกว่าปี 2565 ประมาณ 10% ที่ทำไว้ได้ 1,654.15 ล้าน เพราะงานที่ได้มา จะทยอยรับรู้ภายในปีนี้มากพอสมควร โดยเฉพาะ 2 โครงการใหญ่ โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 1 และโครงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า ระยะที่ 2 ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในครึ่งหลังของปีนี้
"ปีนี้เราขยายงานเยอะพอสมควร และคิดว่าน่าจะออกดอกผลตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เฉพาะแค่โครงการก่อสร้างสวนสัตว์ระยะที่ 1 และโครงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า ระยะที่ 2 ที่เริ่มรับรู้รายได้เต็มปี ก็น่าจะมีรายได้มากพอสมควร"
ส่วนแผนงานในอนาคต พยายามจะรุกงานสัมปทานขายน้ำประปาให้โรงพยาบาล เพราะมองว่ามีโอกาสเติบโต หลังจากนำร่องโครงการระบบผลิตน้ำประปาเพื่อใช้ในโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ซึ่งเป็นสัญญารับจ้างผลิตเป็นแห่งแรก ที่ประสบความสำเร็จด้วยดี โดยจะเน้นโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ที่จำเป็นต้องใช้น้ำสะอาด และมีคุณภาพดี ซึ่ง TEAMG มีความได้เปรียบ เพราะมีข้อมูล และมีความเชี่ยวชาญด้านน้ำอยู่เป็นทุนเดิม
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายไปสู่ธุรกิจคาร์บอนเครดิต ไม่ว่าจะเรื่องของ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) การเป็นที่ปรึกษาในการตรวจวัดคาร์บอน ตามนโยบาย ESG ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะต้องเริ่มทำ เพราะในอนาคตจะมีเรื่องกระแสคาร์บอนเครดิตเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นปีหน้า
อีกหนึ่งธุรกิจที่ TEAMG โฟกัส อีกเรื่อง คือ Digital Twin คือ แนวคิดการทำสำเนาหรือแบบจำลองของวัตถุต่างๆ ทางกายภาพให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล หรือ แบบโมเดลจำลองเสมือนจากวัตถุทางกายภาพ ทำให้สามารถทำงานได้เหมือนกับวัตถุจริง โดยร่วมทุนกับ DITTO ตั้งบริษัทขึ้นมา ล่าสุด ได้รับสัญญาจ้างจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อพัฒนาระบบ Digital Twin ระยะที่ 2 ภายใต้โครงการด้านศูนย์กลางนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมฯ ดำเนินการเองทั้ง 13 แห่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงาน มูลค่าโครงการ 143 ล้านบาท
ดร.อภิชาติ มองแนวโน้มธุรกิจของTEAMG ใน 3-5 ปีข้างหน้าว่า ต้องยอมรับว่าปัจจุบันงานด้านที่ปรึกษา เริ่มมีคู่แข่งเยอะขึ้น ในขณะที่ข้อกำหนดต่างๆ ของภาครัฐ มีความเข้มข้นมากขึ้น การแข่งขันก็จะรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ไม่พึ่งพางานที่ปรึกษาอย่างเดียว เราจึงจะรุกในส่วนของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับงานที่ปรึกษา โดยเฉพาะในส่วนงานด้านการลงทุน และงานด้านโครงการก่อสร้าง (EPC) ซึ่งเรามองว่าใน 3-5 ปีข้างหน้า 2 ธุรกิจนี้ จะมีรายได้ใกล้เคียงกับธุรกิจที่ปรึกษา เพราะโครงการสวนสัตว์ และโครงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า จะต้องมีเฟสต่อไป ซึ่งเราจะเกาะติดงานในส่วนนี้ และคาดว่าน่าจะมีเข้ามาอย่างน้อยๆ 2-3 งาน รวมถึงส่วนของงานสัมปทานขายน้ำประปาให้โรงพยาบาล งานคาร์บอนเครดิต และ Digital Twin ที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี
ดร.อภิชาติ กล่าวทิ้งท้ายในบทสนทนาฝากถึงนักลงทุนว่า " สถานการณ์ตลาดหุ้นที่ปีนี้อาจจะดูไม่ค่อยสดใส ก็อยากให้นักลงทุนมีความอดทน คิดว่าอีกไม่นานคงจะได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ซึ่งปีนี้เรามีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ และมีเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ และเราหวังว่าสิ่งที่เราปรับและเปลี่ยน จะเริ่มออกดอก ออกผลตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป"