เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดการณ์ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลต่อต้นทุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียน แต่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ ชี้กลุ่มก่อสร้าง ได้รับผลกระทบมากสุด ฉุดกำไร 3-8%
ทีมวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ได้มีการคาดการณ์ จากกรณีการที่กระทรวงแรงงานเตรียมพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ โดยจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในช่วงเดือน ก.ย. และคาดว่าจะผ่านมติและบังคับใช้ให้ได้ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี ส่งผลทำให้ค่าแรงเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ในช่วงประมาณ 330 – 350 บาท ต่อวัน จากฐานเดิม โดยพิจารณาตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของแต่ละจังหวัด
ผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ น่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานไม่มีฝีมือ (Unskilled Labor) ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่จะถูกปรับขึ้นค่าแรง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42.4% (อ้างอิงจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ) ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ก่อสร้าง และ ภาคบริการ
อย่างไรก็ตามประเมินผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในภาพรวม และกำไรบริษัทจดทะเบียน แบบเป็นกลาง (Neutral) เนื่องจาก
1) การปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ จะส่งผลเชิงลบต่อเพียงแค่บางอุตสาหกรรมและธุรกิจ
2) ในเชิงเปรียบเทียบ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้มีอัตราการปรับขึ้นต่ำกว่าครั้งปี 2556 (ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ทั่วประเทศ) อย่างมีนัยสำคัญ
3) ภาคธุรกิจปรับตัวรองรับกับภาวะต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ มาแล้วระยะหนึ่ง (อาทิเช่น ปรับขึ้นราคาขาย ใช้นโยบายลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น)
4) อานิสงค์บวกจากกำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคของไทย และหนุนให้ภาครัฐเก็บ Vat ได้มากขึ้น
โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม จากกรณีที่มีการปรับค่าแรงขึ้นต่ำขึ้น 10% จะส่งผล ดังนี้
• กลุ่มก่อสร้าง โดนผลกระทบเชิงลบมากที่สุด แนวโน้มกำไรในปี 2566 จะโดนกระทบประมาณ 3-8% แต่
ในขณะเดียวกันความสามารถในการปรับขึ้นราคาขายน่าจะทำได้ต่ำ (ประเมินที่ระดับประมาณ 1 จาก 10 คะแนน)
• กลุ่มท่องเที่ยว โดนผลกระทบต่อกำไรมากที่สุดประมาณ 6-55% ในขณะที่ความสามารถในการปรับขึ้นราคาขาย ถือว่าอยู่ในระดับกลาง (ประมาณ 4 จาก 10 คะแนน)
• ส่วนกลุ่มอื่นๆ ผลกระทบค่อนข้างจำกัด เช่น กลุ่มการแพทย์ ที่แม้ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นจะกระทบกำไรประมาณ 2-14% แต่ความสามารถในการปรับเพิ่มราคาขายและบริการน่าจะสามารถทำได้ จากประเภทของสินค้าที่ถือเป็นสินค้าจำเป็น (ระดับคะแนนประมาณ 8 จาก 10) เช่นเดียวกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆที่ส่วนใหญ่พึ่งพาแรงงานที่ได้รับค่าแรงขึ้นต่ำ หรือแรงงานไร้ฝีมือ ในสัดส่วนที่ไม่มาก นอกจากนี้บางกลุ่มอุตสาหกรรม นำโดย ค้าปลีก และการเงิน น่าจะได้ sentiment เชิงบวก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต่ำลงของกลุ่มลูกค้าฐานราก