วิจัยกสิกร ชี้ กนง.เตรียมถอนคันเร่ง จ่อขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ดูแลเงินเฟ้อ คาด พุธนี้ปรับขึ้น 0.25%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่พุธจะถึงนี้ คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 0.75% ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้กนง. มีแนวโน้มที่จะทยอยถอนคันเร่งทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระดับสูง โดยจากตัวเลขเงินเฟ้อไทยทั่วไป (CPI) เดือนก.ค. 2565 อัตราเงินเฟ้อไทยวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น 7.61% YoY ชะลอลงเพียงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 7.66% YoY โดยมีปัจจัยผลักดันมาจากราคาพลังงานและอาหารที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งแม้ว่าดัชนีราคาหมวดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ปรับลดลงมาตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแต่ก็ยังคงทรงตัวในระดับสูง
ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว เพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่เร่งขึ้นที่ 2.99% YoY จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 2.51% YoY สะท้อนให้เห็นว่าการส่งผ่านต้นทุนจากไปยังผู้บริโภคมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและในวงกว้างขึ้น
"ดังนั้น แม้ว่าราคาน้ำมันจะย่อลงมาบ้าง และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอลงเล็กน้อย แต่แรงกดดันจากเงินเฟ้อภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ ดังนั้น กนง. มีแนวโน้มที่จะให้น้ำหนักต่อปัจจัยเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเป็นสำคัญ เนื่องจากเงินเฟ้อที่สูงจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเปราะบางอย่างผู้มีรายได้น้อย" บทวิเคราะห์ระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า แม้ว่าเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้น จะมาจากปัจจัยในฝั่งอุปทานเป็นหลัก ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาได้โดยตรง อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยสร้างความมั่นใจต่อประชาชนว่าเงินเฟ้อจะได้รับการดูแลไม่ให้สูงขึ้นต่อไปในระยะข้างหน้า โดยหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่ต่ำนานเกินไป การคาดการณ์เงินเฟ้อ (inflation expectations) ก็อาจจะเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยภาคส่วนต่างๆ พากันคาดว่าเงินเฟ้อจะลากยาว และพากันกำหนดราคาหรือเรียกร้องค่าจ้างตามการคาดการณ์นั้น ซึ่งจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามการคาดการณ์
นอกจากนี้ หากเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับเดิม ก็จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมที่แท้จริงลดลงไปอีก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการดำเนินนโยบายการเงินยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น และเหยียบคันเร่งให้เศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยวส่งผลให้ความจำเป็นในการดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายนั้นลดลง เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยเร่งตัวสูงขึ้นอย่างมากหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ โดยในเดือนก.ค. 2565 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยมากกว่า 1 ล้านคน ส่งผลให้ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วกว่า 3 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะก่อให้เกิดรายได้และการจ้างงานในประเทศเพิ่มมากขึ้น
"แม้ว่าอุปสงค์ภายในประเทศจะได้รับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาเป็นปกติ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวการแพร่ระบาดของโควิดที่ลดลง ดังนั้น แรงส่งเศรษฐกิจจากนโยบายการเงินการคลังจึงมีความจำเป็นลดลง ส่งผลให้ กนง. มีแนวโน้มที่จะลดการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายลง" บทวิเคราะห์ระบุ
ในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง. อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องไปในการประชุมที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะอยู่ที่ 1.00-1.25% ณ สิ้นปี โดยจุดจับตาจะอยู่ที่ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตัวเลขเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า หากตัวเลขเงินเฟ้อยังเร่งตัวขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดีจากการท่องเที่ยว คงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ กนง. พิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในทุกการประชุมที่เหลือของปีนี้
อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวของไทยได้ ขณะที่ อุปสงค์โลกที่ชะลอตัวลงอาจจะส่งผลต่อทิศทางเงินเฟ้อโลกอาจอ่อนแรงลงได้บ้าง นอกจากนี้ สหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอย และการจ้างงานของชาวอเมริกันอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มที่จะย่อตัวลงในระยะข้างหน้า ส่งผลให้เฟดอาจหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า
ในขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังอยู่ในระดับต่ำอยู่ และยังมีส่วนต่างกับดอกเบี้ยเฟดอยู่มาก ดังนั้น ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีหน้ายังคงขึ้นอยู่กับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพภายนอกประเทศ ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น