ทีมกลยุทธ์การลงทุน TMBAM-TFUND เปิด 5 ธีมการลงทุนปี 65 รับศก.โลกชะลอตัว-จับตานโยบายการเงินสกัดเงินเฟ้อ-หวั่นการขึ้นภาษี-บทบาท ESG-ดูทิศทางจีน
นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ, CFA รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน Thanachart Fund Eastspring เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2565 จะยังคงได้รับผลจากการระบาดโควิด-19 ในปีนี้ และจะมีความผันผวนจากการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังเป็นหลัก แต่ยังเชื่อว่า ในภาพรวมยังมีโอกาสการลงทุน และมีกลุ่มสินทรัพย์ที่น่าสนใจลงทุนอยู่ ซึ่งทีมกลยุทธ์การลงทุนได้แบ่งธีมการลงทุนโลกออกเป็น 5 ธีม โดยเชื่อว่า หากมีการเตรียมพร้อมรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างรัดกุมก็จะทำให้พอร์ตของผู้ลงทุนยังสามารถทำผลตอบแทนได้ตามที่คาดหวังได้
ธีมแรก คือ ธีมรับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังจากการระบาดของโควิด-19 ช่วงที่ผ่านมา ส่งผลสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าหลายประเทศสามารถประคองให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าในปี 2565 การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะกลับมาชะลอตัวลง จากฐานการเติบโตที่สูงในปีนี้และความต้องการที่เริ่มชะลอตัวหลังจากการเปิดประเทศในปีหน้า ดังนั้น การลงทุนในช่วงปี 2565 มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการกระจายสินทรัพย์ลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ และไม่ควรเก็งกำไรในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งหรือภูมิภาค/กลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่ง
ธีมที่สอง คือ การลงทุนที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงิน จากการที่ภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเริ่มกลับมาใกล้เคียงกับก่อนเกิดโควิด-19 รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นส่งผลให้ในปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ ต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้นเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ ทั้งลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างฝั่งของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากการประชุมในเดือนธันวาคม จาก Dot plot มีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯประมาณ 3 ครั้งในปี 2565 ซึ่งอาจเริ่มส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้นได้
ดังนั้น ในช่วงจังหวะที่ผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น อาจต้องกระจายลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นบ้าง แทนที่จะเน้นลงทุนกลุ่มเติบโตหรือกลุ่มเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว โดยส่วนตัวมองว่ากลุ่มหุ้นวัฏจักรเช่น ธนาคาร พลังงาน มีความน่าสนใจเหมาะเอาไว้เพื่อกระจายความเสี่ยงและได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น ในส่วนของตราสารหนี้อาจจะต้องเลือกตราสารที่มีอายุไม่ยาวและเน้นไปยังตราสารประเภท Investment Grade เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น
สำหรับ ธีมที่สาม เชื่อว่า นโยบายการคลังที่ลดขนาดลงและการขึ้นภาษีจะเป็นปัจจัยในการพิจารณาการลงทุนในปีหน้า จากที่กล่าวข้างต้นว่า หลายประเทศมีการใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินที่สูงมาก อย่างในสหรัฐฯ ปีนี้มีการใช้วงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 16% ของ GDP แต่กลับพบว่าในปี 2565 วงเงินในด้านการคลังคาดว่าจะมีการใช้งบประมาณไม่ถึง 10% ของ GDP ทำให้เชื่อว่าสหรัฐฯอาจเริ่มเก็บภาษี ทั้งภาษีเงินได้ ภาษีนิติบุคคล และภาษีจากการลงทุน ในปีหน้า ซึ่งอาจส่งผลต่อการบริโภค กำไรบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการลงทุนที่อาจผันผวนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น สำหรับการลงทุนอาจจะต้องเลือกบริษัทที่มีกระแสเงินสดที่ดีเพื่อรองรับการเติบโตที่อาจจะชะลอตัวลง รวมถึงความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และอาจเพิ่มการลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มียอดขายเติบโตน่าสนใจติดพอร์ตไว้บ้าง ซึ่งมองว่าจะได้รับผลบวกในกรณีเกิดการขึ้นภาษีนิติบุคคล
ส่วน ธีมที่สี่ ในปีหน้าหลายบริษัทจะให้ความสำคัญต่อ ESG โดยเชื่อว่า ในปีหน้าหลายบริษัทจะนำเอา ESG เข้ามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น และในแง่ของการลงทุน ทางผู้จัดการกองทุนทั่วโลกได้มีการตระหนักถึงประเด็น ESG และมีการนำเรื่อง ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่เข้าลงทุน ขณะที่ทาง Bloomberg มีการคาดการณ์ว่า ขนาดของกองทุน ESG ที่เป็น ETF อาจเติบโตขึ้นได้ 3-5 เท่าในช่วง 2563-2568 ซึ่งในปี 2563 กองทุน ESG ประเภท ETF มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2020 และอาจโตได้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2568
สำหรับธีมสุดท้าย มองว่า นโยบายรุ่งเรืองร่วมกันของ สี จิ้น ผิง จะยังดำเนินต่อไป แต่จีนแผ่นดินใหญ่เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ ในปีนี้หลังจากที่ทางการจีนได้มีการประกาศนโยบาย รุ่งเรืองร่วมกัน หรือ Common Prosperity เพื่อจัดการความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบโดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี และบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความเสี่ยงด้านการผูกขาดตลาด และในปี 2565 นโยบายนี้จะยังคงอยู่แต่ผลกระทบอาจเริ่มจำกัด และที่สำคัญในปี 2565 จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมถึงการเลือกผู้นำคนใหม่ ซึ่งคาดว่าจะยังเป็น สี จิ้น ผิง ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่ 3 และหากไปดูนโยบายต่างๆจะพบว่าจีนมีการดำเนินนโยบายที่ยังคงเน้นการบริโภคในประเทศเป็นหลัก
ดังนั้น ในด้านการลงทุน ตลาดหุ้นจีนอาจฟื้นตัวไม่เท่ากันระหว่าง ตลาดหุ้นฝั่งที่เป็น H Shares และ China ADR ที่อยู่นอกจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าจีนแผ่นดินใหญ่มีความน่าสนใจ เพราะอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เน้นการบริโภคในประเทศ รวมถึง Valuation ยังไม่แพงมาก และมีโอกาสเกิด Country Rotation ได้เนื่องจากในปี 2565 การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในจีน สามารถเติบโตได้ประมาณ 15-16% และจากอดีตพบว่า ปีใดที่ตลาดหุ้นจีน underperform มาก ในปีถัดมามีโอกาสที่นักลงทุนจะหมุนการลงทุนไปยังตลาดหุ้นจีน
--------------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1