รมว.คลัง เปิดงานสัมมนา ก.ล.ต. วางทิศทางนโยบายพัฒนาตลาดทุนไทย 5 ด้านหลัก พร้อมมอบหมายให้ผนวกแผนฟินเทคใส่แผนพัฒนาตลาดทุนด้วย เลขาฯ ก.ล.ต ร่วมแถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2565 – 2567 เดินหน้าเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน การมีส่วนร่วม สร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานสัมมนาและกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “นโยบายพัฒนาตลาดทุนไทยเพื่อเป็นกลไกในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19” และนายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงบทบาทของตลาดทุนไทยต่อเศรษฐกิจของประเทศและบทบาทของ ก.ล.ต. ในการวางนโยบายและทิศทางเพื่อพัฒนาสู่อนาคต พร้อมด้วย นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดงานและร่วมแถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2565 – 2567 (ระยะเวลา 3 ปี) พร้อมคณะผู้บริหาร ซึ่งงานนี้จัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “เพื่อช่วยให้ประเทศไทยเติบโตอย่างเข้มแข็ง ยั่งยืน ครอบคลุมทุกภาคส่วน กระทรวงการคลังได้วางทิศทางนโยบายในการพัฒนาตลาดทุนไทยไว้ทั้งหมด 5 ด้าน พร้อมมอบหมายให้ ก.ล.ต. เป็นเจ้าภาพร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำนโยบายดังกล่าวมาจัดทำเป็นแผนเพื่อพัฒนาตลาดทุนไทยสำหรับปี 2565 – 2570 โดยกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้พิจารณาผนวกแผนฟินเทค ในแผนพัฒนาตลาดทุนดังกล่าวด้วย
สำหรับนโยบายการพัฒนาตลาดทุนทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) การส่งเสริมการเข้าถึงการระดมทุนและการลงทุนผ่านกลไกตลาดทุน (accessibility) โดยเฉพาะกลุ่มภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2) การเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย (competitiveness) 3) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับตลาดทุน (digital for capital market) 4) การพัฒนาตลาดทุนที่ยั่งยืน (sustainable capital market) 5) การสนับสนุนสุขภาพทางการเงินที่ดีของประชาชนในระยะยาว และการมีความรู้ความเข้าใจทางการเงิน (financial well-being)”
นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “แม้การเปลี่ยนแปลงจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องและซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะรุนแรงและรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ด้วยบทบาท หน้าที่ สรรพกำลังและทรัพยากรของตลาดทุนไทยที่ยังคงเข้มแข็ง จึงทำให้ตลาดทุนไทยยังคงมีศักยภาพและบทบาทสำคัญที่สามารถช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมไทยให้ก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน ได้แก่ บทบาทในการสร้างการมีส่วนร่วม บทบาทการพัฒนากลไกและสภาพแวดล้อมที่จะสร้างประโยชน์ไปถึงกลุ่มธุรกิจในเศรษฐกิจยุคใหม่และ บทบาทการส่งเสริมศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศผ่านการสนับสนุนเทคโนโลยีและดิจิทัล ขณะเดียวกัน ก.ล.ต. ได้ดำเนินหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง”
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “แผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2565 – 2567 มีความเชื่อมโยงและสอดรับกับทิศทางของประเทศตั้งแต่ระดับแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับรองต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ตลอดจนทิศทางแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับใหม่ โดยในกระบวนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ฯ ได้มีการติดตาม วิเคราะห์ผลกระทบจากสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ พร้อมทั้งรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนและรอบด้าน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ อย่างแท้จริง อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน และนำมาซึ่งความร่วมมือในการขับเคลื่อน และผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อไป”
ตามแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2565 – 2567 มุ่งบรรลุวัตถุประสงค์ 3 ด้าน ได้แก่ การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน การสร้างการมีส่วนร่วม และการสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น โดยมีเป้าหมายหลัก (key result) 5 ด้าน ดังนี้ (1) ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง (2) การเป็นตลาดทุนดิจิทัล เพื่อส่งเสริมศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศ (3) การยกระดับศักยภาพตลาดทุนเพื่อความยั่งยืน (sustainable capital market) (4) ตลาดทุนมีระบบนิเวศที่เหมาะสม ยืดหยุ่น ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาและกำกับดูแลให้สอดรับกับฉากทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมเชื่อมโยงและเป็นที่ยอมรับในสากล (5) ผู้ลงทุนมีศักยภาพในการสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดี
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้มีแผนองค์กรนวัตกรรมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ (enabler) ที่จะช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนและผลักดันภารกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์และบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้