Economies

ธ.ทิสโก้เคาะ 3 ธีมลงทุนรับปีกระต่าย เจาะลึกสร้างกำไรก้าวกระโดด โตสวนเศรษฐกิจโลก 
6 ม.ค. 2566

 ธนาคารทิสโก้เปิด 3 ธีมลงทุนปีกระต่าย ทั้งสร้างกำไรสวนทางเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ธีม High Potential Country  นำโดย จีน-เวียดนาม 2. ธีม High Demand Sector ชูกลุ่มหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ เทคโนโลยี และหุ้นเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน และ 3. ธีม  High Stability  แนะพันธบัตรสหรัฐฯ และทองคำ  

 

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แม้ในปี 2566 จะมีความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะลดลงช้ากว่าที่คาด และความเสี่ยงจากการถอนสภาพคล่องของธนาคารกลางต่างๆ แต่ธนาคารทิสโก้มองว่าท่ามกลางวิกฤตล้วนแต่มีโอกาสการลงทุนซ่อนอยู่ และเริ่มมีข่าวดีที่สนับสนุนการลงทุน เช่น ประเทศจีนประกาศเปิดประเทศ เป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจจีนรวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวได้ดีขึ้น  

 

ขณะที่ราคาหุ้นบางประเทศ และราคาหุ้นบางกลุ่ม ได้ปรับลงมาตลอดปี 2565 ทำให้มูลค่าปรับลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่ง ในทางสถิติราคาหุ้นมักจะสะท้อนภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ราว 6 เดือนถึง 1 ปี แสดงให้เห็นว่าตลาดได้รับรู้ความเสี่ยงในปี 2566 ไปพอสมควรแล้ว นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนในบางประเทศและบางกลุ่มอุตสาหกรรมยังมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงสวนกระแสเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว  

 

ธนาคารทิสโก้จึงเชื่อว่าปี 2566 จะเป็นปีแห่งโอกาสในการลงทุน  และเพื่อให้สะดวกต่อการจัดสรรพอร์ตการลงทุน ธนาคารทิสโก้จึงแบ่งธีมการลงทุนที่มีโอกาสสร้างกำไรสูงในปี 2566  จำนวน 3 ธีม ดังนี้  

 

1. High Potential Country เศรษฐกิจ - กำไร บจ.โตสูง ราคาหุ้นไม่แพง 

ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เน้นลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสวนกระแสการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก โดยตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นโลก (Outperform) จะต้องเป็นตลาดหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจยังมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับที่สูง มีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่แข็งแกร่ง และที่สำคัญคือ มีมูลค่า (Valuation) ที่อยู่ระดับต่ำเพียงพอที่จะทำให้เกิดส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) ในการลงทุน ได้แก่ ตลาดหุ้นจีน และเวียดนาม  

 

โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 4.4% ขณะที่เวียดนามจะขยายตัวที่ 6.2% สวนทางกับเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.7% รวมถึงการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามปี 2566  ก็อยู่ระดับสูงที่ 17.3% และ 13.2% ตามลำดับ สวนทางกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่มีการเติบโตของผลประกอบการที่ชะลอตัวลง 

 

2. High Demand Sector ธุรกิจเมกะเทรนด์ จำเป็นต่อโลก โตสวนเศรษฐกิจชะลอตัว   

ในปี 2566 ช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารทิสโก้แนะนำให้มองหาการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าตลาดโดยรวม โดยควรเน้นลงทุนในกลุ่มที่สินค้าและบริการมีความต้องการในการใช้งานอยู่ในระดับสูงและเติบโตตาม Megatrends ของโลก ตลอดจนมีอำนาจในการปรับราคาสินค้าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ (Pricing Power) ซึ่งจะส่งผลให้รายได้และกำไรของธุรกิจไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่  

 

1. กลุ่มหุ้นเฮลธ์แคร์ ที่ได้อานิสงค์จากสังคมผู้สูงอายุและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า 2.กลุ่มเทคโนโลยีที่มีรายได้ประจำ(Recurring income) จากค่าสมาชิก (Subscription) ของลูกค้าที่ใช้ประจำและยังมีแนวโน้มขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้งาน เช่น คลาวด์ (Cloud Computing) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่เป็นรากฐานสำคัญของภาคธุรกิจตามเทรนด์ของ Digital Tranformation  และ 3.โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ที่เป็นสินค้ามีความจำเป็นและมีความต้องการสูง โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะขาดแคลนพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้แต่ละประเทศพยายามลดการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมเพื่อเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจเข้าสู่การเป็น Net Zero Carbon 

 

3. High Stability Asset สร้างกำไรไม่หวั่นปัจจัยลบ 

แนะนำให้ลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงในปี 2566 และมีโอกาสได้รับกำไรจากราคาพันธบัตรที่ปรับขึ้น รวมถึงทองคำที่มักจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับสูง และสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับพอร์ตได้ 

 

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com