'ดร. กอบศักดิ์' เดินหน้าพบรัฐบาล ชงตั้งกองทุน ESG ลดหย่อนภาษีในวันพรุ่งนี้ มองหุ้นไทยยังปรับตัวอีกเล็กน้อย แนะกลุ่มปันผลเด่นน่าลงทุน คาดปีหน้า ศก. ไทยโต 3-4% รวมมาตรการเงินดิจิทัลแล้ว ชี้โลกยังเสี่ยงโดยเฉพาะยุโรป-จีน ฟันธงปีหน้าดอกเบี้ยไทยไม่ลดลง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และในฐานะประธานสภาตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ย. 2566) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย นัดหารือกับรัฐบาล เพื่อเสนอพิจารณาการจัดตั้งกองทุนลงทุนหุ้นระยะยาว ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี คล้ายกองทุน LTF ที่ยกเลิกไปแล้ว และออกเป็น กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว ( SSF) เพื่อสิทธิลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้ ซึ่งกองทุน SSF จะหมดอายุในปี 2567 ขณะที่กองทุน SSF มีเงื่อนไขที่ไม่ดึงดูดนักลงทุนเพราะต้องลงทุน 10 ปีเต็ม จึงอยากเสนอให้ลดอายุกองทุนใหม่ลงมา จะเสนอออกเป็นกองทุนที่ลงทุนประเภทดำเนินธุรกิจสู่คงามยั่งยืน (Sustainable) ตัวอย่างกองทุนกรีนบอนด์ การออมสำหรับเด็กเพื่อการศึกษา และสำหรับผู้สูงอายุเพื่อการเกษียณ สนับสนุนให้คนรู้จักการลงทุน
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ดร. กอบศักดิ์ คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2567 อยู่ที่ระดับ 3-4 % โดยรวมผลของมาตรการแจกเงินดิจิทัล วอลเลต 5 แสนล้านบาท ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังคาดไม่ได้ว่า เงินจากมาตรการนี้จะหมุนเศรษฐกิจหรือไม่
"ปีหน้า เศรษฐกิจโลกยังไม่ค่อยดีเนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปกับจีนยังไม่ค่อยดี ปัญหาสงครามยังไม่จบ ในไทยปีหน้า ท่องเที่ยว ยังเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ ตอนนี้เปิดวีซ่าฟรีที่จีน คิดว่าอยากให้รัฐบาล เปิดวีซ่าฟรีกับอินเดีย เพราะนักลงทุนอินเดียยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าลงทุนประเทศไหนเป็นหลัก หากทำวิซ่าฟรีจะจูงใจให้ลองเข้ามาในไทย ส่วนการลงทุนเป็นส่วนสำคัญ หากรัฐสร้างท่าเรือฝั่งตะวันออกเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุน FDI เข้ามาลงทุนมนไทน จะทำให้GDP โต"
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยของโลกในปีหน้า มีแนวโน้มจะเห็นการปรับตัวลดลงได้หลังจากที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยมายาวนาน ส่วนดอกเบี้ยไทย อาจไม่เห็นการปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบันที่อยู่ 2.50% ระดับสูงสุดรอบ 9 ปี เนื่องจาก ธปท. มองว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยแล้วและถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าหลายๆประเทศที่ปรับตัวขึ้นไปก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังต้องเฝ้าระวังแนวโน้มเงินเฟ้อหลังจากหลายๆปัจจัยรวมถึงมีมาตรการแจกเงินดิจิทัลฯด้วย ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนปีหน้า จะมีความผันผวน หลักๆมาจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งปีนี้ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 35 บาท/ดอลลาร์ คาดว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 36 บาท/ดอลลาร์
สำหรับตลาดหุ้นไทยคาดมีแนวโน้มปรับตัวลดลงได้อีก แม้ว่าที่ผ่านทา จะปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องตั้แงต่ 1,600 จุดจนถึง1,300 จุด ซึ่งปรับตัวลดลงมามากแล้ว โดยปกติหากตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมามาก จะไม่แนะนำให้ขาย และอาจจะดูจังหวะค่อยๆทยอยซื้อสะสม โดยมองว่า ในระยะยาวภายใน ปี 2568 หุ้นไทยน่าจะฟื้นตัว หากติดตลาดตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อปีที่แล้วที่ขึ้นดอกเบี้ย หุ้นปรับตัวลงมามาก และปีนี้เริ่มกลับมาปรับขึ้น
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ ยังแนะนำหุ้นปันผลเช่น หุ้นเฮลท์แคร์ หุ้นท่องเที่ยว หุ้นแบงก์ กลุ่มหุ้นปันผล กลุ่มหุ้นท่องเที่ยว