บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมายการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ไว้ที่ 2 ล้านล้านบาท ภายใน 3 ปี พร้อมเปิด 3 กลยุทธ์ วางรากฐานทุกกระบวนการทำงาน มุ่งสู่การเป็น Trusted Asset Manager มั่นใจส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการด้านการลงทุนที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและคู่ค้า เพื่อสรรค์สร้างอนาคตการลงทุนอย่างยั่งยืน ล่าสุด เปิดบริหารพอร์ตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบ Core & Satellite Portfolio ช่วยปรับพอร์ตลดความเสี่ยงตามอายุ ดูแลเงินออมมั่นคงในวัยเกษียณ ลูกค้าเข้าร่วมโครงการฯเต็ม พร้อมแนะหุ้นไทยต่ำกว่า 1200 จุด แนะทะยอยลงทุน และคาดดัชนีเลวร้ายสุด 1050 จุด
นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) พร้อมคณะผู้บริหารของ บลจ.กสิกรไทย ร่วมแถลงวิสัยทัศน์เพื่อมุ่งสู่การเป็น Trusted Asset Manager ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ลงทุนไทยเป็นอันดับ 1 ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) Enhance Customer Experience ยกระดับประสบการณ์ด้านการลงทุนผ่านแนวทางการบริหารพอร์ตแบบ Core & Satellite Portfolio พร้อมอัพเดทสถานการณ์การลงทุน มีข้อมูลเชิงลึกให้กับลูกค้า เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์ 2) Collaboration with Distributors& Partners เสริมแกร่งความร่วมมือผ่านธนาคารกสิกรไทย และตัวแทนผู้สนับสนุนการขาย เพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกทั้ง J.P. Morgan Asset Management และLombard Odier เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ 3) Productivity Enhancement การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้ง AI และ Robotic Process Automation (RPA) มาปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และ ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่ม AUM ให้แตะระดับ 2 ล้านล้านบาทภายใน 3 ปี (พ.ศ. 2568-2570)
นายวินกล่าวถึงผลการดำเนินงานโดดเด่นในปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย คงครองอันดับ 1 ในด้านมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) และมีสัดส่วนกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ 4 หรือ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์มากที่สุดถึง 45%ของกองทุนทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกองทุน และความมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าที่สร้างพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) มากกว่า 500,000 บัญชี เพิ่มขึ้นจาก 48,000 ราย เป็น 100,000 ราย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อ บลจ.กสิกรไทย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนรวม
“ในปีนี้ บลจ.กสิกรไทย ประเมินสถานการณ์การลงทุนจากทั่วโลกยังคงมีความไม่แน่นอน โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกอิงจากสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงจากนโยบายรัฐบาลของทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดกลับมาอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง อย่างไรก็ดี Fed มีแนวโน้มดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น โดยมองว่ามีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% ในช่วงกลางปี และอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งคาดจะลงมาอยู่ที่ 3.75%-4% ”
สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอยู่ในกรอบ 2.4-2.7% ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ 2.5% ทั้งนี้ การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยน่าจะเข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้ว โดยซื้อขายในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบกับในอดีต ด้วย Forward PER 12.93 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลังที่ 15.88 เท่า อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนควรติดตามมาตรการระยะสั้นที่จะเข้ามากระตุ้นตลาดหุ้นไทย
บลจ.กสิกรไทย คาดดัชนีหั้นไทย ปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,350 จุด หลังการปรับ Earnings Per Share (EPS) ใหม่ แต่ในช่วงนี้ให้กรอบดัชนีฯ 1,100-1,200 จุด และกรณีแย่สุด (Worst-case) ดัชนีฯย่อลงมาอยู่ที่บริเวณ 1,050 จุดได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี หุ้นไทยปรับลงมา 13% แล้ว ปัจจุบัน ดัชนีฯ อยู่ที่ 1200 จุด หากลฃมาตาำกว่าระดับนี้ แนะนำทะยอยสะสม ซึ่งกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ หุ้นปันผลสูง อย่างกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร นอกจากนี้ มีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สินทรัพย์(REIT) ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6-8% ต่อปี
”ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย มองว่ายังมีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในปีนี้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ไทย โดยคาดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 2.00-2.30% ตำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุน ขึ้นกับระดับรับคงามเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละคน หากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรลงทุสตราสารหนี้ประมาณ 70% ของพแร์ตรวม และตราสารทุน 30% ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และรับความผันผวนสูงแนะนำเพิ่มสัดส่วนตราสารทุนที่มากขึ้นตามความเสี่ยงที่รับได้“ นายวินกล่าว
อย่างไรห็ตาม จากสภาวะตลาดทั่วโลกที่ยังมีความผันผวน ผู้ลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียว อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาดได้ โดยแนะนำให้ผู้ลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1: Core Portfolio เน้นลงทุนเสริมพอร์ตให้เติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE ในสัดส่วนประมาณ 70-80% ของพอร์ต ส่วนที่ 2: Satellite Portfolio เน้นลงทุนเพื่อโอกาสทำกำไรในระยะสั้น โดยแนะนำกองทุน K-GSELECT, K-USA, K-GTECH, K-VIETNAM, K-PROPI ในสัดส่วนประมาณ 20% ของพอร์ต และส่วนที่ 3: Liquidity เน้นลงทุนเสริมสภาพคล่อง เพื่อโอกาสทำกำไรที่ได้มากกว่าเงินฝาก ในขณะเดียวกันยังสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายใน 1-2 วันทำการ โดยแนะนำกองทุน K-SF, K-SFPLUS, K-FIXED, K-FIXEDPLUS ในสัดส่วนประมาณ 10% ของพอร์ต
พร้อมกันนี้ ปีนี้บลจ. กสิกรไทยได้ขยายบริการการลงทุนเพื่อวัยเกษียณ โดยส่วนของธุรกิจบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะมีการจัดพอร์ต Core & Satellite Portfolio ให้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วย ซึ่งจะมีการปรับพอร์ตลงทุนและความเสี่ยงให้เหมาะสมตามช่วงอายุของสมาชิก ที่เรียกว่า KAsset Life Path Retirement Solition ซึ่งการจัดพอร์ตลักษณะนี้ จะตอบโจทย์มีเงินออมในวันเกษียณแก่สมาขิก ขณะนี้เริ่มเดินสายพบลูกค้า ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีในการเข้าร่วมโครงการจัดพอร์ตดังกล่าว
นายวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย มีจำนวนผู้ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลทั้ง K-PLUS และ K-My Funds คิดเป็นสัดส่วน 89% จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด และสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ในทุกช่องทางรวมได้เป็นจำนวนกว่า 500,000 ราย (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ณ 31 ธ.ค. 67) ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.61 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.19 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.46 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.72 แสนล้านบาท โดยยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ที่มา: AIMC ณ 31 ธ.ค. 67)