Economies

ศูนย์วิจัยกสิกรฯปรับ GDP ปี65 เพิ่มขึ้น 2.9% เงินเฟ้อพีก Q3 กดดันกนง. ขึ้นดอกเบี้ย บาทอ่อน36บ./ดอลล์
28 มิ.ย. 2565

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่ม GDP ปี 65 เป็น 2.9% มองภาพเศรษฐกิจหลังเปิดประเทศ แรงหนุนภาคท่องเที่ยวพลิกฟื้นตัวดีกว่าคาดเดิม  ประเมินรายได้ท่องเที่ยวไทย-เทศ เพิ่มขึ้นกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ภาคบริโภคเอกชนดีกว่าคาดการณ์เดิม แต่ยังต้องระวังเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดไตรมาส 3 กดดัน กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5% มองสิ้นปีนี้แตะ 1% คาดเงินบาทอ่อนยวบ 36 บ./ดอลล์ในช่วง 1-2 เดือนหน้า เงินทุนไหลออกจากตลาดทุนบางส่วน มั่นใจทุนสำรองไทยฯปึ้ก  ระบุไทยมีความเสี่ยงต่อภาวะตึงตัวของอุปทานอาหาร แต่ไม่ถึงกับวิกฤตเหมือนประเทศต่างๆ

 

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลงหลังสิ้นสุดหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กอปรกับมีการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นตามการนำเข้าพลังงาน แต่เมื่อรวมผลจากจีดีพีไตรมาส 1/2565 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด และมุมมองการบริโภคภาคเอกชนที่ดีกว่าที่เคยประเมินเล็กน้อย รวมถึงแรงหนุนสำคัญจากรายได้นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีสำหรับทั้งปี 2565 จาก 2.5% มาอยู่ 2.9% 

 

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 4.0 ล้านคน มาเป็น 7.2 ล้านคน ซึ่งทำให้มีรายได้ท่องเที่ยวจากทั้งต่างชาติเที่ยวไทยและไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นมาที่ 1.1 ล้านล้านบาท แม้ว่าจะยังห่างจากช่วงก่อนโควิดที่ทำได้ถึงราว 3 ล้านล้านบาทก็ตาม

 

นางสาวณัฐพร กล่าวเพิ่มว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามยังเป็นเรื่องเงินเฟ้อที่คงจะเข้าหาระดับสูงสุดในไตรมาส 3/2565 ซึ่งทำให้ กนง.อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าหาระดับ 1.0% ภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่  0.5% ท่ามกลางภาวะที่เฟดคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง แต่คาดว่าแบงก์ไทยจะยังไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของฝั่งเงินฝากและเงินกู้ตามในทันที โดยคงเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยสำหรับเฉพาะบางผลิตภัณฑ์มากกว่า เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินยังอยู่ในระดับสูงและยังมีโจทย์ในการช่วยเหลือลูกค้าให้ก้าวข้ามช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ 

 

ด้านค่าเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าเข้าหาระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ตามปัจจัยเศรษฐกิจและดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังหนุนเงินดอลลาร์ฯ และมีการปรับตัวผ่านเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนไทยบางส่วน  อย่างไรก็ตาม  ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะความมั่นคงของไทย เนื่องจากมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับภาระหนี้ต่างประเทศระยะสั้น การนำเข้า 3 เดือน และหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ได้กว่า 1.2 เท่า

 

สำหรับประเด็นวิกฤตความมั่นคงทางอาหารนั้น นางสาวเกวลิน  หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในขณะนี้ ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อภาวะความตึงตัวของผลผลิตอาหาร ซึ่งยังไม่ใช่วิกฤตด้านอาหารดังที่ปรากฏขึ้นในหลายประเทศ เนื่องจากเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารไทยเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนปัจจัยการผลิตที่แพงขึ้นซึ่งอาจกระทบผลผลิต ประกอบกับความต้องการและราคาอาหารโลกเพิ่มขึ้น หนุนการส่งออกในบางรายการ ดังนั้น ราคาอาหารไทยอาจปรับขึ้นในครึ่งหลังปีนี้และมีแนวโน้มยืนสูงต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม ข้าว และเนื้อหมู ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังมีโจทย์ในด้านการบริหารจัดการต้นทุน เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลฐานะรายรับรายจ่ายและใช้สอยอย่างรอบคอบต่อเนื่อง 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com