ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เตือนระวังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาด และกรณีเงินเฟ้อฟื้นตัวต่อเนื่อง Fed อาจคงอัตราดอกเบี้ยทั้งปี กดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลงต่อ แนะนักลงทุนทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และถือเงินสดรอเข้าลงทุนในพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นโลกในปีนี้เริ่มต้นปีได้อย่างคึกคัก โดยดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องทะลุ 5,000จุด มาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่ผลักดันตลาดหุ้นทั่วโลก ได้แก่ ความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ โดยตลาดซื้อขายล่วงหน้าคาดว่า Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยในช่วงกลางปี และลดดอกเบี้ยรวมในปีนี้ราว 3-4 ครั้ง อย่างไรก็ตาม TISCO ESU คาดว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed อาจจะล่าช้ากว่าที่ตลาดคาด และในกรณีเลวร้ายที่เงินเฟ้อฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง Fed อาจคงดอกเบี้ยไปตลอดทั้งปี ซึ่งจะทำให้บอนด์ยิลด์สหรัฐฯ พลิกกลับมาเป็นขาขึ้นในระยะสั้น และเป็นปัจจัยกดดันที่จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานได้อีกครั้ง
โดยอุปสรรคในการลดดอกเบี้ยของ Fed ประการแรก ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจและการจ้างงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดย GDP สหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องในอัตราสูงกว่า 3% ในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว และมีแนวโน้มจะขยายตัวที่ระดับดังกล่าวต่อในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งการขยายตัวที่เกินกว่า 3% นั้นนับเป็นการขยายตัวในระดับที่เกินกว่าศักยภาพและอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นได้ในปีนี้ นอกจากนั้นตัวเลขการจ้างงานและการขยายตัวของค่าจ้างยังกลับมาเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.5% ในเดือนล่าสุดซึ่งชี้ว่าเงินเฟ้อโดยเฉพาะในภาคบริการของสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นต่อจากนี้
นอกจากนี้ ปริมาณพันธบัตรสหรัฐฯ ที่จะออกมาขายในตลาดในช่วงไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะเป็นปัจจัยผลักดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี(Bond yield) กลับมาเป็นขาขึ้นในระยะสั้น โดยในปีที่แล้วกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้มีการลดปริมาณการขายพันธบัตรระยะยาว และเปลี่ยนไปเน้นออกพันธบัตรระยะสั้นเพื่อลดแรงกดดันต่อตลาดพันธบัตรในช่วงที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวขึ้นแรง แต่พอมาในปีนี้ปริมาณพันธบัตรระยะสั้นได้เพิ่มขึ้นไปเกินกรอบบนที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ที่20% ของตลาด และทำให้กระทรวงการคลังต้องกลับมาออกพันธบัตรระยะยาวเพิ่มขึ้นในปีนี้
TISCO ESU ประเมินว่าปริมาณพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่อาจจะกลับมาเพิ่มขึ้นในระยะสั้น อาจทำให้ Bond yield กลับมาเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3-4.5% ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่องไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ซื้อขายที่ระดับพีอีที่ค่อนข้างแพงมากในปัจจุบัน TISCO ESU จึงแนะนำให้นักลงทุนทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และถือเงินสดรอเข้าลงทุนในพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯในช่วงที่ Bond yield ปรับตัวสูงขึ้น