ผู้ว่าการ ธปท. คาดเศรษฐกิจปีหน้าโตไม่ถึงเป้า 4.4% หากรัฐปรับลดมาตรการแจกเงินฯ เตือนโลกเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น ล่าสุดสงครามตะวันออกกลาง กระทบน้ำมัน- เงินเฟ้อพร้อมนำถกในกนง. เดือนหน้า หารือการรับภาวะช็อกของโลกจากความไม่แน่นอนสูงขึ้น
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตอนนี้โลกมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น และเสียงสะท้อนในการประชุมธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ผ่านมา ได้พูดถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ค่อนข้างช้าและไม่ค่อยทั่วถึง ช่วงที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยปีละ 3% ต่ำสุดรอบ 30 ปีทำให้ภาพการเติบโตของโลกไม่ได้สวยหรู และมีความเสี่ยงปมต่างๆเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เรื่องหลักๆก็จีนที่มีปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ความเสี่ยงคอขวด Supply Chain ที่แย่งกัน ปัญหาความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในระดับการค้าโลก
"ที่ผมห่วง คือ ปัญหาในตะวันออกลางที่เกิดขึ้น ทำให้ประเมินผลกระทบต่อภาพพรวมได้ค่อนข้างยากมากๆ มองผลกระทบข้างเคียงไม่ออกและอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ส่วนผลต่อไทย ในภาพรวมยังโอเค แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้ ซึ่งเรามีทุนสำรองฯดี ฐานะการเงินแบงก์โอเค จะมีก็หนี้ครัวเรือนที่สูง 90.7%ต่อ GDP แต่ลดลงจากจุดพีคแล้วและหนี้สาธารณะ 61.7%ของ GDP สูงสุดประวัติการณ์ ด้านผลกระทบต่อตลาดลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ในไทยก็มีเงินไหลออก -8.4 พันล้านบาทในปีนี้ (YtD) สวนทางประเทศอื่นๆอย่าง เกาหลี อินเดีย อินโดนีเซีย"
ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในรอบเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการพิจารณาสถานการณ์สงตรามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ที่เพิ่งเกิดขึ้น อาจมีผลต่อราคาน้ำมัน และอาจส่งผลต่อไปถึงเงินเฟ้อ และมีผลต่อด้านดีมานด์ หรือความต้องการบริโภคของโลกจึงอาจกระทบต่อด้านส่งออก ธปท. จะประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมองความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ ยังคงให้ความสำคัญกับด้านเสถียรภาพ3 ด้าน คือ การดึงเงินเฟ้อให้กลับสู่กรอบเป้าหมายให้ได้ เพราะเหตุการณ์ตะวันออกกลางอาจจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อช็อกขึ้นมาอีก , ความพยายามสร้างกันชนทางด้านการคลัง หลังจากที่ผ่านมากระตุ้นการคลังไว้มากและต่อเนื่อง ซึ่งก็ต้องลดรายจ่าย หารายได้ ทำให้ขาดดุลลดลง หนี้สาธารณะลดลง เพื่อเตรียมรับมือช็อกต่าง ๆที่จะมาในอนาคต และสุดท้าย ให้ความสำคัญดูแลเสถียรภาพสถาบันการเงิน และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3 ภาคการบริโภคในประเทศไทยยังมีการฟื้นตัวดีต่อเนื่อง ความจำเป็นในการกระตุ้น การบริโภคยังมีไม่มาก แม้ในไตรมาส 3 ตัวเลขภาคการผลิตอุตสาหกรรม หรือดัชนี MPI ที่ต่ำกว่าคาด ส่วนภาคการส่งออกก็เริ่มฟื้นตัวแล้ว ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ 2.8%
สำหรับในปีหน้า 2567 ธปท. คาดการณ์ GDP ไว้ที่ระดับ 4.4% ซึ่งรวมผลของมาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาท แต่ตอนนี้รัฐบาลกำลังปรับหลักเกณฑ์เงื่อนไขการแจกเงินฯ ซึ่งขนาดเม็ดเงินน้อยกว่านี้ ก็อาจทำให้ GDP ปรับลดลงจากที่คาดไว้ จึงต้องรอดูรายละเอียดของมาตรการแจกเงินฯนี้ออกมา