Economies

จิตตะ เวลธ์ ชวนฉวยโอกาสลงทุนหุ้นสหรัฐฯ  ต้อนรับทรัมป์รีเทิร์น ก่อนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯยิ่งแข็งค่าในอนาคต  
9 พ.ย 2567

บลจ. จิตตะ เวลธ์ มองผลกระทบการลงทุนหลังทรัมป์รีเทิร์น ชี้ระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจผันผวนแบบเป็นขาขึ้น แต่ระยะยาวเป็นบวกแน่นอน จากนโยบายการลดภาษีนิติบุคคล การกีดกันการค้า ที่จะหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนและดึงเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น ฟันธงนี่คือโอกาสลงทุนที่ดีที่สุดในการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ  ก่อนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯยิ่งแข็งค่าในอนาคต  

 

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า เวลานี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่ให้กลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งการเลือกตั้งที่สิ้นสุดลงช่วยสร้างความชัดเจนให้กับตลาดการลงทุน ​โดยจะเห็นได้ว่าดัชนี S&P 500 ตอบรับในเชิงขาขึ้นไปแล้ว​  ซึ่งไม่ใช่เพียงผลตอบรับระยะสั้นเท่านั้น เพราะตามสถิติระยะยาวของดัชนี S&P 500​ พบว่าหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สิ้นสุดลง ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 83% ​และหลังการเลือกตั้งในปีถัดๆ ไปจะเห็นดัชนีเป็นบวก จากการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่

 

อย่างไรก็ตามผลกระทบระยะสั้นจากการที่นายทรัมป์ ได้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งนั้นอาจจะได้เห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนได้ในระยะสั้น แต่จะเป็นการผันผวนในขาขึ้น  ด้วยบุคคลิกของนายทรัมป์ที่ค่อนข้างแข็งกร้าวในการดำเนินนโยบายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ

ทั้งนี้หากพิจารณานโยบายของนายโดนัลด์ทรัพป์ที่ได้ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงนั้น มีแนวโน้มจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นอยู่ในทิศทางขาขึ้น​  ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% มาอยู่ที่ 20% และในอนาคตจะลดมาเหลือ  15% ซึ่งหากสามารถทำได้จริง ก็จะช่วยให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นตามไปด้วย​ ส่งผลให้แนวโน้มเงินทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้นในอนาคต

 

นอกจากนี้ยังมีนโยบายตั้งกำแพงภาษี และนโยบายการกีดกันผู้อพยพของนายทรัมป์อาจจะช่วยให้คนอเมริกันมีรายได้ และใช้จ่ายอุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจได้รับการกระตุ้นและเมื่อเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นก็จะเติบโตไปด้วยนั่นเอง  

 

นายตราวุทธิ์ ยังกล่าวว่า ในเวลานี้ถือเป็นจุดที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ​ ซึ่งนอกจากความชัดเจนในเรื่อง​ผลการเลือกตั้งแล้ว หากพิจารณาในแง่ของค่าเงินที่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระทบกับผลตอบแทนการลงทุนนั้น ในช่วงหลังการเลือกตั้งจะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้อีก นักลงทุนจึงควรใช้โอกาสนี้ในการลงทุนก่อนที่ต้นทุนการลงทุนจะเพิ่มสูงขึ้นตามไป

 

“ข้อมูลย้อนหลังดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 2471-2559 พบว่าภายหลังการเลือกตั้ง 19 ครั้ง หรือ 83%  ตลาดหุ้นมีโอกาส​ปรับเพิ่มขึ้น โดยปีที่ได้ประธานาธิบดีจากพรรค Republican ตลาดหุ้นจะมีผลตอบแทนเป็นบวก 15.30% และหากเป็นพรรค Democrat จะมีผลตอบแทนเป็นบวก 7.6% แต่ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล้วนมีโจทย์ในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต และชาวอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้นภาพในระยะยาวจึงไม่ต่างกันมาก แต่อาจจะต่างกันที่นโยบาย และไม่ว่าจะเป็นใคร สุดท้ายตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็จะทำ all time high ได้เสมอ”

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com