นายก ส.ประกันวินาศภัย เปิดผลเจรจา คปภ. แก้ปัญหาประกันโควิดแบบเจอจ่ายจบ ปรับเกณฑ์ 3 ข้อสำหรับบริษัทประกันสามารถบอกเลิกกรมธรรม์ เมื่อเกิดอัตราเสียหาย 400%ขึ้นไป หรือค่าเคลมโควิดพุ่ง 4 พันล้าน หรือเกินกว่า 10%ของเงินกองทุน เพื่อสกัดปัญหาบริษัทประกันเจ๊ง พร้อมปรับมาตรการเยียวยาผู้ซื้อประกันโควิด 4 ข้อ เปิดทางให้ได้เงินคืน 100% เมื่อถูกประกันยกเลิกกรมธรรม์
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์วิกฤตจากการรับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบของบริษัทประกันภัย ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 ค่าสินไหมทดแทนรวมจากการรับประกันภัย COVID-19 มีจำนวนกว่า 37,000 ล้านบาท ในขณะที่เงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัยที่รับประกันภัยโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 132,000 ล้านบาท และด้วยสถานการณ์การระบาดที่ยังคงยืดเยื้อจนถึงปัจจุบันรวมถึงความเป็นไปได้ในการเกิดการระบาดระลอกใหม่ ทำให้คาดการณ์ว่าค่าสินไหมทดแทนสะสม ณ สิ้นปี 2564 จะเพิ่มสูงถึง 40,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของเงินกองทุนทั้งหมด (ซึ่งอัตรานี้เป็นค่าเฉลี่ยของทุกบริษัท ฉะนั้น อาจมีบางบริษัทที่มีความเสียหายสูงกว่าเงินกองทุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก)
พร้อมกับว่าอาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงถึง 60%-70% ของเงินกองทุน หรือไม่ต่ำกว่ากว่า 80,000 ล้านบาท หากเกิดการระบาดระลอกใหม่ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกในเวลานี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันวินาศภัยหลายบริษัทอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ทั้งนี้ จากการเปิดประเทศ แม้ว่าประชาชนได้รับวัคซีนเข็มแรกสัดส่วนเกิน 63%ของทั้งหมด และได้รับครบ 2 เข็มสัดส่วนมากกว่า 52% ซึ่งหากมีการติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังสามารถติดเชื้อได้ จากสถิติผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศไทยมีอัตราผู้ติดเชื้อ 2.8% ของประชากร แต่อัตราผู้ติดเชื้อของผู้ที่มีประกันภัย COVID-19 สูงถึง 3.8% ของผู้ถือกรมธรรม์ ซึ่งสูงกว่าอัตราการติดเชื้อของประชากรไทยทั่วไปถึง 35.7% นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลจากบริษัทซึ่งอยู่ใน TOP 5 ของบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบมีอัตราการติดเชื้อสูงถึง 4.2% ซึ่งสูงกว่าอัตราการติดเชื้อของประชากรไทยทั้งหมดถึง 46%
สำหรับกรณีสิทธิการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัย นายอานนท์ กล่าวว่า ตามหลักการประกันภัยสากลรวมถึงประเทศไทย ผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัยต่างก็ “มีสิทธิ” ในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย อย่างไรก็ตาม การบอกเลิกโดยผู้เอาประกันภัยนั้น ไม่ต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้า ในขณะที่การบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัยนั้น จะต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้เอาประกันภัยทราบอย่างน้อย 15-30 วัน ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ.
สำหรับการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัยจำนวนมากในคราวเดียวกันจะมีสาเหตุมาจากภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยง (Risk Profile) ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมักจะเกิดกับเหตุการณ์ที่เป็นมหันตภัยหรือความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risk)
“จะเห็นได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยความเสี่ยงผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 อย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในปี 2563 มีจำนวน 6,884 คน ในขณะที่ในปี 2564 นับจนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อถึง 2,037,241 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 296 เท่าหรือ 29,600% สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตในปี 2563 นั้นมีจำนวน 61 คน ในขณะที่ผู้เสียชีวิตในปีนี้มีถึง 20,193 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 331 เท่าหรือ 33,100%”
นายอานนท์ ได้ให้ข้อมูลต่อว่า เงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยนั้น เป็นเงื่อนไขมาตรฐานที่กำหนดอยู่ในกรมธรรม์ทุกประเภททั่วโลกและในประเทศไทยรวมถึงกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ด้วย ซึ่งเงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ. ทุกฉบับตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535
“เงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกเปรียบเสมือนเป็นระบบ “เซฟทีคัท” ในบ้านทุกหลัง หรือระบบเบรกในรถยนต์ทุกคัน เพื่อจะใช้ตัดไฟหรือหยุดรถในยามฉุกเฉินหรือเมื่อเกิดเหตุวิกฤต ผมขอเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ลองนึกถึงรถที่บรรทุกผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถวิ่งจากกรุงเทพไปเชียงราย แต่ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายและไม่มีความพร้อมที่จะเดินทางต่อไปได้ จึงมีความจำเป็นต้องหยุดรถเพื่อซ่อมแซมให้เกิดความปลอดภัย แต่มีคนมาสั่งการให้เอาระบบเบรกออกและสั่งให้รถวิ่งต่อไป ซึ่งทางข้างหน้าเป็นทางที่อันตราย และรถก็ไม่มีระบบเบรกแล้ว เช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงและอันตรายถึงชีวิตทั้งกับคนขับ ผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นได้”
นายอานนท์ กล่าวข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการสำคัญที่ผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยทั่วโลกใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยที่เรียกว่า Insurance Core Principles (ICPs) ซึ่งมีหลักการข้อที่ 24 หรือ ICP 24ได้ระบุชัดเจนว่าสำนักงาน คปภ. มีหน้าที่ในการระบุ ติดตาม และวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันภัยและภาคธุรกิจประกันภัย และใช้ข้อมูลที่ได้รับในการระบุจุดเปราะบาง รวมถึงกำหนดมาตรการในจัดการความเสี่ยงเชิงระบบที่กำลังเกิดขึ้นและผลกระทบที่จะแพร่กระจายออกไป ทั้งในระดับบริษัทและในระดับธุรกิจหากมีความจำเป็น โดยผลกระทบเชิงระบบอาจเกิดขึ้นมาจากการที่บริษัทบางบริษัทหรือทั้งภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง รวมถึงความเสี่ยงในรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้จะส่งผลกระทบไปยังส่วนอื่นของระบบการเงินหากบริษัทประกันภัยมีการเลิกกิจการ”
เนื่องจากเงินที่บริษัทประกันภัยใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนใหญ่นั้น มาจากเบี้ยประกันภัยจากการรับประกันภัยทุกประเภทซึ่งให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยทุกประเภทกว่า 70 ล้านกรมธรรม์ หากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัย COVID-19 ส่งผลทำให้บริษัทประกันภัยต้องมีการปิดกิจการเพิ่มอีก ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยในวงกว้าง และกองทุนประกันวินาศภัยคงไม่สามารถรับภาระในการชดเชยค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดได้
เนื่องจากธุรกิจประกันวินาศภัยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเชิงระบบซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบประกันภัยในอนาคตอันใกล้ สมาคมฯ จึงได้มีการหารือกับสำนักงาน คปภ. เพื่อหาทางออกร่วมกันตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิด Outward Risks ซึ่งเป็นความเสี่ยงจากภาคธุรกิจประกันภัยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินหรือระบบเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด ได้หาข้อสรุปร่วมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยส่วนใหญ่และเสถียรภาพของระบบประกันภัยเป็นที่ตั้ง ซึ่งหลังจากพิจารณาแนวทางทั้งหมดที่เป็นไปได้แล้ว ได้มีการกำหนดเกณฑ์ร่วมกันหากจำเป็นต้องมีการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ ดังนี้
สำหรับมาตรการเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ได้มีการพิจารณาร่วมกัน มีดังต่อไปนี้