กระทรวงการคลังจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ตามนโยบายรัฐบาลดูแลเศรษฐกิจฐานราก โดยดึง 47 หน่วยงาน ร่วมมือเป็นหน่วยงานรับลงทะเบียนและช่วยตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีรายได้น้อยตามเกณฑ์ คาดผู้มีรายได้น้อยที่เข้าเกณฑ์คนจนรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท/ปี มีจำนวนราว 13-15 ล้านคน พร้อมเตรียมงบฯปี 2566 รองรับวงเงินกระจายให้ผู้ได้สิทธิสวัสดิการรัฐรอบใหม่ เบื้องต้นคาดเริ่มใช้สิทธิได้ปลายก.พ. 66 เผยโครงการผู้ถือบัตรสวัสดิการฯปัจจุบันมีราว 19 ล้านคน ใช้งบประมาณเดือนละ 4 พันล้านบาท เปิดขั้นตอนการลงทะเบียนเข้าโครงการบัตรคนจน
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยให้เป็นปัจจุบัน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรสวัสดิการให้แก่ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย และมีการเพิ่มเติมคุณสมบัติในการคัดกรองเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการระบุตัวตนผู้มีรายได้น้อยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยโครงการฯ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานอีก 47 หน่วยงาน ซึ่งจะเป็นหน่วยงานรับลงทะเบียนและหน่วยงานที่ช่วยในการตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นผู้มีรายได้น้อยตามหลักเกณฑ์ที่โครงการฯ กำหนดเพื่อให้มั่นใจว่า ผู้ลงทะเบียนมีคุณสมบัติเป็นผู้มีรายได้น้อยตัวจริงที่สมควรได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ตลอดจนเป็นการช่วยให้รัฐบาลใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพในการจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้ที่ต้องการได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างเรียบร้อยและบรรลุวัตถุประสงค์ กระทรวงการคลังจึงได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2565 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2565 โดยมีหน่วยงานที่เข้าร่วมในพิธีทั้งสิ้น 37 หน่วยงาน แบ่งเป็นหน่วยงานรับลงทะเบียน จำนวน 7 หน่วยงาน ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กรมบัญชีกลาง (สำนักงานคลังจังหวัด) กรมการปกครอง (ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ) กรุงเทพมหานคร (สำนักงานเขต) และสำนักงานเมืองพัทยา และหน่วยตรวจสอบคุณสมบัติที่มาเข้าร่วมพิธีลงนามวันนี้ จำนวน 33 หน่วยงาน จากหน่วยตรวจสอบคุณสมบัติทั้งสิ้น 47 หน่วยงาน เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทยจะเป็นผู้แทนในการลงนามของธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน พร้อมกันนี้ได้เปิดขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 ด้วย
สำหรับหน่วยงานตรวจสอบคุณสมบัติที่เข้าร่วมลงนามในวันนี้ ได้แก่ กรมบัญชีกลาง กรมสรรพากร กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา กรมที่ดิน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานประกันสังคม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การยางแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมการขนส่งทางบก กรมการกงสุล กรมราชทัณฑ์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมควบคุมโรค สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรมหม่อนไหม การท่าเรือแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมทั้งหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ซึ่งหน่วยงานทั้งหมดจะร่วมมือกันดำเนินการในโครงการฯ ปี 2565 เช่น การรับลงทะเบียน การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน การประมวลผล การจัดทำฐานข้อมูล การประกาศผลผู้มีสิทธิ์ เป็นต้น ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างราบรื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด
"โครงการนี้คาดว่าจะมีจำนวนผู้มีรายได้น้อยเข้าเกณฑ์ราว 13-15 ล้านคน ซึ่งจะมีกระบวนการตรวจสอบที่โปรงใส คาดว่าผู้ที่ผ่านโครงการนี้ น่าจะเริ่มได้ใช้สิทธิราวปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า (ปี 2566) สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการรายเก่า ยังสามารถใช้สิทธิได้ไปจนถึงวันที่โครงการใหม่จะเริ่มมีผล สำหรับวงเงินที่คาดว่าจะใช้รองรับโครงการบัตรสวัสดิการรอบใหม่นี้ หากเราประเมินจากผู้ถือบัตรสวัสดิการในปัจจุบันที่มีจำนวนราว 19 ล้านราย รัฐใช้งบเดือนละ 4,000 ล้านบาท รวมทั้งปีประมาณ 48,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโครงการบัตรสวัสดิการ รัฐวางแผนจะใช้งบประมาณปี 2566 ในการรองรับ "นายสันติกล่าว
ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมได้กำหนดวันลงทะเบียนโครงการฯ เป็นช่วงระหว่างวันที่ 5 กันยายน – 19 ตุลาคม 2565 (รวม 45 วัน) ซึ่งจะเป็นขั้นตอนแรก โดยประชาชนที่มีคุณสมบัติ (อาทิ รายได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ไม่มีที่ดิน ฯลฯ) และต้องการได้รับสวัสดิการภายใต้โครงการฯ ปี 2565 ทุกคนจะต้องลงทะเบียนใหม่ ผ่านช่องทางการลงทะเบียนทางเว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th และช่องทางการลงทะเบียน ณ หน่วยงานรับลงทะเบียนในพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่ สำนักงานคลังจังหวัด ที่ว่าการอำเภอทุกอำเภอ สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร สำนักงานเมืองพัทยา สาขาธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาธนาคารออมสิน และสาขาธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) รวมทั้งจุดให้บริการของธนาคารดังกล่าวมากกว่า 7,000 แห่ง โดยประชาชนสามารถดูรายละเอียดการดำเนินโครงการฯ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ.mof.go.th หรือ https://welfare.mof.go.th
ขั้นตอนที่ 2 ประกาศผลการลงทะเบียน DOPR (ข้อมูลของผู้ลงทะเบียนและสมาชิกในครอบครัวของผู้ลงทะเบียน ซึ่งประกาศผลทุกวันศุกร์ช่วงเดือน ก.ย.-พ.ย.65 (30 วัน) ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบคุณสมบัติ โดย 47 หน่วยงานและทำการประมวลผล ในช่วงเดือน พ.ย. 65- ม.ค.66 ขั้นตอนที่ 4 ประกาศผลผู้ผ่านคุณสมบัติและเริ่มกระบวนการยืนยันตัวตน (e-KYC) ภายในเดือน ม.ค. 66 ขั้นตอนที่ 5 ผู้ไม่ผ่านคุณสมบัติ เริ่มกระบวนการอุทธรณ์ ภายในเดือน ม.ค. 66 (กระบวนการอุทธรณ์ 23 วัน) ขั้นตอนที่ 6 เริ่มใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงการคลังจะประกาศเป็นทางการอีกครั้ง (คาดว่าจะปลายเดือนก.พ. 66) และขั้นตอนที่ 7 ประกาศผลอุทธรณ์ กระทรวกงารคลังจะประกาศให้ทราบอีกครั้ง