ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 36.66 บาท/ดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” Krungthai GLOBAL MARKETS มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดจะอยู่ที่ 36.55-36.70 บาท/ดอลลาร์ รอจับตาผลการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษ และถ้อยแถลงบรรดาเจ้าหน้า ECB
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.66 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.75 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.58-36.76 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้ง ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP และ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ล้วนออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพการชะลอลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งทำให้ GDPNow ของทางเฟด Atlanta ปรับตัวลงเหลือ +1.5%q/q เมื่อเทียบรายปี สำหรับไตรมาสที่ 2 ส่วนผู้เล่นในตลาดก็เพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้เป็น 91% นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,350-2,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการปรับตัวลดลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ยังคงไม่สามารถแข็งค่าผ่านโซนแนวรับแถว 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ง่าย ท่ามกลางแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งเงินดอลลาร์ก็มีจังหวะรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ Tesla +6.5%, Nvidia +4.6% หลังผู้เล่นในตลาดยังเชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.88% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.51%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.74% ตามการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ นำโดย ASML +2.1% อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้น ผลการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ และผลการเลือกตั้งสภาฝรั่งเศสรอบที่สองในวันที่ 7 กรกฎาคม
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงสู่ระดับ 4.35% หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ อนึ่ง เรามองว่า ควรระวังจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นได้ หาก 1) รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานในวันศุกร์นี้ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดโอกาสการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ของเฟด 2) ตลาดยังคงกังวลผลกระทบต่อตลาดบอนด์ หากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย อย่างไรก็ตาม เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า ในทุกๆ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดในระยะข้างหน้ามีเพียงแค่ “คง” หรือ “ลง”
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลัก หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากการกลับมาอ่อนค่าลงบ้างของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) รวมถึงสกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ที่ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนของการเมืองอยู่ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 105.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105-105.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) สามารถปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2,365 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษ ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้ผล Exit Polls ในช่วงเวลาราว 04.00 น. ตามเวลาประเทศไทยในเช้าวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม โดยผลโพลล่าสุด สะท้อนว่า พรรคแรงงาน (Labour party) มีแนวโน้มที่จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ ปิดฉากการครองอำนาจมากว่า 14 ปี ของพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative party หรือ Tory)
และนอกเหนือจากประเด็นการเลือกตั้งดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และรายงานการประชุม ECB ล่าสุด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจกลับมาผันผวนในกรอบ sideways หลังจากที่ผันผวนในกรอบที่กว้างขึ้นจริงตามที่เราคาดในวันก่อนหน้า เนื่องจากผู้เล่นในตลาดก็อาจรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง การจ้างงานในวันศุกร์ พร้อมรอลุ้นผลการเลือกตั้งทั่วไปอังกฤษที่จะรับรู้ในช่วงเช้าตรู่ของวันศุกร์นี้เช่นกัน ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยได้บ้าง โดยเฉพาะในฝั่งหุ้น ซึ่งเรามองว่า ดัชนี SET และ SET50 อาจเกิดสัญญาณ RSI Bullish Divergence ทำให้พอลุ้นโอกาสการรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และอาจติดอยู่แถวโซนแนวรับ 36.50-36.60 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากโซนดังกล่าวก็เริ่มเห็นแรงซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าพอสมควร แต่หากเงินบาทสามารถแข็งค่าผ่านโซนดังกล่าว ซึ่งเป็นโซนเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ได้ชัดเจน ก็อาจแข็งค่าต่อเนื่องทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน แถว 36.40 บาทต่อดอลลาร์ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อนหน้าได้
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษ โดยจากสถิติการเลือกตั้งอังกฤษ ตั้งแต่ปี 1990 พบว่า เงินปอนด์มักจะทยอยแข็งค่าขึ้นได้ หากพรรคแรงงานสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้ แต่อาจจะค่อยๆ แข็งค่าขึ้น และแข็งค่าขึ้นชัดเจนในช่วง 6-12 เดือนหลังการเลือกตั้ง
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.70 บาท/ดอลลาร์