Economies

สภาพัฒน์เผยจ้างงาน Q1/65 อัตราว่างงานต่ำสุดนับแต่มีโควิด-19
23 พ.ค. 2565

สภาพัฒน์ เผย Q1/65 อัตราว่างงานต่ำสุดตั้งแต่มีโควิด-หนี้ครัวเรือนเริ่มชะลอตัว
          
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 1/65 พบว่า การจ้างงานเพิ่มขึ้นทั้งในภาคเกษตรกรรมและนอกภาคเกษตรกรรม ขณะที่อัตราการว่างงาน ลดลงต่ำสุดในช่วงที่มีการระบาดของโควิด ส่วนหนี้ครัวเรือนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยสถานการณ์แรงงานไตรมาส 1/65 ภาพรวมการจ้างงานมีจำนวนทั้งสิ้น 38.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกภาคเกษตรกรรม
          
สำหรับการจ้างงานภาคเกษตรกรรม มีจำนวน 11.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.0% จากการเพิ่มการผลิตสินค้าเกษตรในกลุ่มพืชสำคัญ ส่วนนอกภาคเกษตรกรรมมีการจ้างงาน 27.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.0% โดยสาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ สาขาการผลิต เพิ่มขึ้น  2.6% จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงสุดในช่วงโควิด-19 และการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง สำหรับสาขาการขายส่ง/ขายปลีก และสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า ขยายตัวได้ 5.8% และ 16.2% ตามลำดับ
          
ขณะที่สาขาก่อสร้าง และสาขาโรงแรม/ภัตตาคาร มีการจ้างงานลดลงที่ 1.1% โดยการลดลงของจ้างงานสาขาโรงแรม/ภัตตาคาร ส่วนหนึ่งเกิดจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในไตรมาส 1/65 ประกอบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีจำนวนไม่มาก โดยมีเพียง 5.0 แสนคน จากปกติที่มี 9-10 ล้านคน
          
ส่วนชั่วโมงการทำงาน ปรับตัวดีขึ้นทั้งในภาพรวมและภาคเอกชนที่ 40.8 และ 43.8 ชั่วโมง/สัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้เสมือนว่างงานที่ในไตรมาส 1/65 มีจำนวนถึง 3.8 ล้านคน ขณะที่ผู้ทำงาน 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป หรือกลุ่มทำงานล่วงเวลามีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังต่ำกว่าช่วงปกติ โดยมีจำนวนผู้ทำงานล่วงเวลา 5.7 ล้านคน ในไตรมาส 1/65 จากช่วงปกติประมาณ 6-7 ล้านคน
          
ด้านการว่างงานปรับตัวดีขึ้น โดยผู้ว่างงานมีจำนวนทั้งสิ้น 6.1 แสนคน ลดลงจาก 7.6 แสนคนในช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงจาก 6.3 แสนคนในไตรมาสก่อนหน้า หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานที่ 1.53% ต่ำที่สุดในช่วงโควิด-19 เช่นเดียวกับการว่างงานในระบบที่ลดลงต่อเนื่อง โดยผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน มีจำนวน 305,765 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานในระบบที่ 2.7%
          
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ 1. ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนยังคงเพิ่มขึ้น โดยมีจำนวน 2.6 แสนคน เพิ่มสูงขึ้น 5.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับผู้ว่างงานที่มีประสบการณ์ทำงานที่เริ่มปรับตัวลดลง 2. ผู้ว่างงานระยะยาว ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีจำนวนถึง 1.7 แสนคน และ 3. การว่างงานในกลุ่มแรงงานที่จบการศึกษาสูงยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราการว่างงานของผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาอยู่ที่ 3.10%
          
เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวถึงประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่
          
1. การฟื้นตัวของการจ้างงานภาคท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีจำนวนไม่มาก เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยแม้จะมีแนวโน้มดีขึ้น จากโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ แต่สัดส่วนรายจ่ายยังไม่สามารถชดเชยการหายไปของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ จึงต้องให้ความสำคัญกับการเปิดประเทศ และดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศให้มากที่สุด
          
2. ผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าต่อค่าครองชีพของแรงงาน และการจ้างงาน เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 64 จากราคาน้ำมัน และปัจจัยการผลิตในสินค้าบางชนิดที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของแรงงาน รวมทั้งอาจกระทบต่อการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมจากราคาปุ๋ยที่แพงขึ้น และการจ้างงานสาขาขนส่งจากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
          
3. การหามาตรการแก้ไขปัญหาการว่างงานระยะยาว และการว่างงานของผู้จบการศึกษาใหม่ ที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
          
"ในส่วนของการแก้ปัญหานักศึกษาจบใหม่ที่ว่างงาน ด้วยการอัพสกิลและรีสกิลนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงานกำลังดูเรื่องนี้อยู่ โดยอาจมีการตั้งศูนย์เพื่อมาดูเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็ต้องติดตามในรายละเอียดต่อไป" เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าว
         
 เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวถึงแนวโน้มการจ้างงานในระยะหลังจากนี้ ว่า ถึงแม้ภาคบริการจะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศมากขึ้น แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงผันผวน โดยเฉพาะความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่ทราบ ว่า จะการลุกลามไปมากน้อยเท่าไร ขณะเดียวกัน ภาคการผลิตบางภาคเริ่มมีปัญหาเรื่องซัพพลายเชนหยุดชะงัก (Disruption) ดังนั้น มองว่า ทิศทางการจ้างงานในภาพรวมน่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่จะดีขึ้นก่อนช่วงเกิดโควิด-19 ระบาดหรือไม่นั้น คงต้องประเมินต่อไป
          
สำหรับภาวะหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4/64 ว่า มีมูลค่า 14.58 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% ชะลอลงจาก 4.2% ของไตรมาสที่ผ่านมา โดยคิดเป็นสัดส่วน 90.1% ต่อ GDP ซึ่งสินเชื่อที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ได้แก่ สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ขยายตัว 5.0% จาก 5.8% ของไตรมาสก่อน และสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ ขยายตัว 6.5% จาก 17.6% ในไตรมาสก่อนหน้า
          
ขณะที่สินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินเชื่อเพื่อยานยนต์ ขยายตัว 1.2% จาก 0.3% ในไตรมาสก่อน จากมาตรการส่งเสริมการขายในช่วง Motor Expo สินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัว 1.6% จากการหดตัว 0.5% ในไตรมาสก่อนตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับ ซึ่งเป็นสินเชื่อในกลุ่มเช่าซื้อ และลิสซิ่งที่ขยายตัวมากถึง 21.6%
          
ด้านความสามารถในการชำระหนี้ปรับตัวดีขึ้น โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีมูลค่า 1.43 แสนล้านบาท ลดลง 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงจากไตรมาสก่อน 4.0% หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.73% โดยคุณภาพสินเชื่อปรับตัวดีขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ แต่ยังต้องเฝ้าระวัง NPLS ในสินเชื่อรถยนต์ เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ (สินเชื่อค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน) ต่อสินเชื่อรวม สูงถึง 11.08% หรือคิดเป็นมูลค่าถึง 1.3 แสนล้านบาท
          
ทั้งนี้ ต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก 1. ครัวเรือนมีฐานะการเงินเปราะบางมากขึ้น จากการเผชิญภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวมาอย่างยาวนาน ทำให้ครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยมีสภาพคล่องต่ำ 2. รายได้ครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัว แม้การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นแต่ชั่วโมงการทำงานยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ ประกอบกับผู้เสมือนว่างงานยังมีจำนวนมาก และ 3. ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้
          
เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวถึงการเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังในไตรมาส 1/65 ว่า จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จาก 70,287 ราย เหลือเพียง 43,670 ราย หรือลดลง 37.9% ซึ่งเป็นการลดลงในทุกโรค โดยผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่เป็นผู้ป่วยส่วนใหญ่ ลดลง 16.7% ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากประชาชนมีการใส่หน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาวะความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตดีขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะเสี่ยงฆ่าตัวตายซึ่งมีสัดส่วนลดลงจาก 15.4% ในไตรมาสก่อน เหลือ 8.7% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนสามารถทำกิจกรรมตามปกติได้มากขึ้น
          
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการได้รับวัคซีนของประชาชน ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นมีเพียง 39.1% และ 18.7% ยังไม่เคยได้รับวัคซีนเข็มใดๆ เลย รวมทั้งการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในการจัดการขยะติดเชื้อ ซึ่งกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ปี 64 ประเทศไทยมีขยะติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากปี 63 ถึง 87%


 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com