ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด กรณีขายหุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) โดยอาศัยข้อมูลภายใน และให้ชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่งรวม 2,705,470 บาท รวมทั้งกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติม พบการกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดของนายนพปฎล เดชอุดม (นายนพปฎล) ขณะดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการบริหาร TRUE ได้ขายหุ้น TRUE โดยอาศัยข้อมูลภายใน
นายนพปฎล ได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับ TRUE จากการได้รับมอบหมายให้จัดทำสารสนเทศเพื่อเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ (1) เรื่องที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติให้บริษัท ทรู มูฟ จำกัด (True Move) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TRUE นำส่งเงินรายได้ในช่วงคุ้มครองผู้ใช้บริการนับตั้งแต่วันที่เข้าสู่มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวตามประกาศ กสทช. จำนวน 3,381.95 ล้านบาท และ (2) เรื่องที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ TRUE ชำระเงินค่าผิดสัญญาให้แก่บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) รวม 94,474.27 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งข้อเท็จจริงทั้งสองเรื่องดังกล่าวเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหรือมูลค่าของหุ้น TRUE ภายหลังจากที่นายนพปฎลล่วงรู้ข้อมูลภายในดังกล่าว ได้ขายหุ้น TRUE จำนวน 2,000,000 หุ้น ในวันที่ 5 กันยายน 2561 เพื่อหลีกเลี่ยงผลขาดทุน ก่อนที่ TRUE เปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 5 กันยายน 2561 เวลา 19.25 น.
การกระทำของนายนพปฎล เป็นความผิดฐานขายหุ้น TRUE โดยอาศัยข้อมูลภายใน ตามมาตรา 242 ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับนายนพปฎล โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งให้นายนพปฎลชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,705,470 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 12 เดือน
การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด
ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง