HSBC คาดปี 67 เศรษฐกิจไทยโต 3.1% แรงส่งภาคส่งออกกลับมาโตดี ท่องเที่ยวไปต่อ การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนโตต่อเนื่อง แต่ภาครัฐทั้งใช้จ่าย-ลงทุนหดตัว ชี้ปีนี้ไทยยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ เตือนรัฐใช้จ่ายงบฯ ล่าช้า ฉุดศก.โตต่ำ 2.5% ย้ำเงินลงทุนต่างชาติจะกลับมาไทยได้ รัฐต้องเรียกความเขื่อมั่นด้วยการลงทุนโครงการต่างๆเพื่อให้ ศก.เติบโตได้ระยะยาว มองท่าที ธปท. ยังไม่ต้องรีบร้อนลดดอกเบี้ยตอนนี้
นายเฟรดเดอริค นอยแนมน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชีย ช ธนาคารเอชเอสบีซี เปิดเผยว่า จากที่ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทย ในไตรมาส 4/2566 ตกลงมาอยู่ที่ ระดับ 1.7% และทั้งปี 2566 เติบโตที่ระดับ 1.9% คามลำดับ ถ้าดูรายละเอียดของไส้ในเศรษฐกิจปลายปีที่แล้ว เริ่มเห็นสัญญาณบวกที่ดีขึ้น เช่น ภาคการส่งออกที่เห็นปริมาณการส่งออกค่อยๆไต่ขึ้นมา แม้ว่ายังมีแรงต้านจากการค้าโลกที่ชะลอตัวอยู่บ้าง แต่ก็เห็นภาคส่งออกของไทยเริ่มกลับมาในปลายปีที่แล้ว และอีกจุดที่มีสัญญาณที่ดี คือการใช้จ่ายและลงทุนของภาคเอกชน ขณะที่ภาคท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวเข้ามาราว 28 ล้านคน หนุนการบริโภค ขณะที่การใช้จ่ายและลงทุนของภาครัฐมีความล่าช้า จึงทำให้เศรษฐกิจปีที่แล้วเติบโตต่ำ แต่ในปี 2567 HSBC คาดการณ์GDP เติบโต 3.1% โดยมาจากปัจจัยบวกจากภาคส่งออกที่คาดโต 4-6% อีกปัจจัยบวกคาดจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 32-35 ล้านคน การบริโภคภาคเอกชนเติบโต 4.8% การลงทุนภาคเอกชน เติบโต 3.5% ส่วนภาครัฐบาล คาดการใช้จ่ายหดตัว -0.3% และการลงทุนหดตัว -5.2% และฐาน GDP เติบโตต่ำของปีที่แล้ว
"ตัวเลขคาดการณ์ GDP ปีนี้ 3.1% ยังไม่ได้รวมประเด็นมาตรการ digital wallet ของรัฐบาล และการลดดอกเบี้ยของ ธปท. เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อไหร่ มาตรการรัฐมีระยะเวลานานแค่ไหน แต่ถ้าปีนี้ รัฐบาลเซ็นอนุมัติการลงทุนโครงการต่างๆ อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน จะช่วยกระตุ้นภาคการลงทุนของไทยเพิ่มขึ้น ก็จะก่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น และอีกตัวที่เสริม อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.6%เป็นตามที่ธปท.คาดไว้ และคิดว่า ธปท.จะยังไม่ลดดอกเบี้ยในปีนี้ ปีนี้สภานการณ์ในไทย ค่อนข้างเข้าที่เข้าทาง แต่โลกยังมีความเสี่ยงเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ จีนยังเร่งเครื่องเศรษฐกิจไม่ได้มากนัก และเฟดที่ยังมีความไม่แน่นอนของการลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นช่วงไหนในปีนี้ เรามองว่า GDP ไทยปีนี้โต 3.1% ถือว่าดี ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ระดับกลางๆ(base case) แต่ถ้ามีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้น อย่างรัฐบาลมีการลงทุนมากขึ้น มีมาตรการฯออกมา ก็น่าจะเห็นตัวเลข GDP แตะสูง 3.5-4% แต่ถ้ารัฐบาลตัดสินใจลงทุนโครงการต่างๆ ล่าข้าอีก คาด GDP จะเติบโต 2.5-3%"
สำหรับเงินทุนต่างชาติในไทย ยังไหลออกอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในไทยได้นั้น จะต้องเห็นภาครัฐมีการใช้จ่ายงบประมาณด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้หลายภาคธุรกิจต่างๆ เติบโตเพิ่มตามไปด้วย และจากสถานการณ์ตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สันดาปไปสู่กระแสยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งหมายถึง Supply chainที่อยู่ในรถ EV ที่ผู้ประกอบการไทยกำลังพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตชิ้นส่วนฯสำหรับรถ EV เพราะฉะนั้นหากภาครัฐจะให้ไทยเป็น Hub รถ EV ก็ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งไทยมีโอกาสที่จะเพิ่มมาร์เกตแชร์ด้านนี้ได้อยู่แล้ว และช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาวด้วย ก็จะสร้างความเขื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาไทยได้
นายเฟรดเดอริค ให้ความเห็นเพิ่มเติมถึงกรณีการลดดอกเบี้ยจะช่วยเศรษฐไทยเติบโตมากขึ้นหรือไม่ ว่า จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในตอนนี้ มองว่ายังไม่เห็นความรีบร้อนที่ ธปท.จะต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายลดลง เพราะภาพการบริโภคการลงทุนของภาคเอกชนยังไม่ได้แย่ แต่สิ่งที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้นได้ จะต้องมาจากการลงทุนโครงการต่างๆจองภาครัฐเป็นสำคัญ ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์ดอกเบี้ยโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐยุโรป ออสเตรเลีย เกาหลีมต้ ยังไม่ได้เริ่มปรับลดดอกเบี้ย จึงทำให้ธปท.ยังไม่เห็นความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยตามที่รัฐบาลต้องการ อย่างไรก็ตาม ธปท. มีท่าทีจะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า
"เรายังมองว่า ปีนี้ยังไม่ได้เป็นปีที่ไทยจะเข้าสู่ภาวะปกติ 100% มองว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาสู่ภาวะปกติได้ จะค้องเปลี่ยนข้ามผ่านปีนี้ก่อน ปีนี้จะเป็นปีที่ค่อยๆปรับตัวเข้าที่เงินเฟ้อจะค่อยๆชะลอตัวและคาดจะกลับสู่ภาวะปกติในไม่ช้า"นายเฟรดเดอริค กล่าว