Economies

บลจ.กสิกรไทย เดินเกมรุกตั้งเป้าโต 1.55 ล้านล้าน ส่องสินทรัพย์น่าลงทุน แนะกระจายลงทุนก้าวข้ามความเสี่ยงโลกผันผวน
20 ก.พ. 2566

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) และนายสุรเดช  เกียรติธนากร พร้อมด้วยผู้บริหารของบลจ.กสิกรไทย ร่วมแถลงแผนกลยุทธ์ปี 2566 มุ่งสู่การเป็นธุรกิจที่ครองใจลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ภายใต้แนวคิด Top of Mind Investment House ควบคู่กับการบูรณาการด้าน ESG เพื่อช่วยยกระดับตลาดทุนไทย และเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมีความมั่งคั่งจากการลงทุนในกองทุนรวม อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน โดย บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมายปี 2566 เติบโตไปอยู่ที่1.55 ล้านล้านบาท 

 

นายอดิศรกล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในปี 2566 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันยังมีแนวโน้มที่จะชะลอตัว ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง ในขณะที่ตลาดได้สะท้อนความคาดหวังต่อสัญญาณเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงไปแล้ว ทำให้ในระยะถัดไปคาดว่าจะเริ่มเห็นโอกาสการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียนำโดยประเทศจีน ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าฝั่งสหรัฐฯและยุโรป 

 

“ปีนี้เฟดคงจะขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกระดับหนึ่งและทรงตัวอยู่ระดับสูงในปีนี้ เพื่อดูเงินเฟ้อ ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระวัง เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่คิดว่าไม่ลงลึก ปีนี้คิดว่าเฟดยังไม่ลดดอกเบี้ย รวมถึงยังมีกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ยังไม่ฟื้นตัวดีมากนัก จึงยังต้องเลือกลงทุนและระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น แต่จุดที่น่าสนใจ คือ ทุกครั้งที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ขยับขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจังหวะที่น่าสนใจเข้าลงทุน”  

 

สำหรับความน่าสนใจในตลาดหุ้นฝั่งเอเซีย นำโดยประเทศจีน ที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยเปิดประเทศ การบริโภคจำนวนมหาศาล  จากความต้องการซื้อที่ถูกอั้นไว้(Pent Up Demand) จากช่วงที่ล็อคดาวน์ในช่วงวิกฤตโควิด-19   และยังมีปัจจัยบวกจากดอกเบี้ยนโยบายที่ยังปรับลดลง คาดว่าตลาดหุ้นจีนจะกลับขึ้นมาได้  ที่สำคัญรวมทั้งจีนมีความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี  ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง หากเข้าลงทุนในระดับปัจจุบันนี้มีโอกาสขาดทุนค่อนข้างน้อย 

 

ส่วนประเทศเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจจากระดับการประเมินมูลค่าหุ้น(Valuation) โดยคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ที่คาดเติบโต 12% ส่วนเศรษฐกิจมีอันราการเติบโตสูงกว่าหลายๆประเทศ จากปัจจัยภายในประเทศทั้งการบริโภค การส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ อีกทั้งในระยะยาว เวียดนามยังมีโอกาสที่จะได้รับการปรับสถานะจากตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) เป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้กองทุนต่างๆทั่วโลกเพิ่มน้ำหนักลงทุนกันซึ่งจะทำให้มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาได้อีกมาก 

 

“การเปิดประเทศของจีน จะส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่  ราว 1.5% ตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทยก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจในปีนี้นอกเหนือจากตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรป ความน่าสนใจเริ่มลดน้อยลง จึงแนะนำลดน้ำหนักการลงทุน”

 

สำหรับประเทศไทยมีทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกมากขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม และเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ โดยมองเป้าหมายดัชนีปลายปีอยู่ที่ระดับ 1800 จุด ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันได้สะท้อนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตที่ระดับประมาณ 2.00-2.25% แล้ว มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจและอยู่ในระดับที่สามารถเข้าลงทุนได้

 

จากสภาวะตลาดปัจจุบันที่ยังสะท้อนความน่าสนใจของตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่เริ่มเห็นทิศทางการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก บลจ.กสิกรไทย จึงอยากแนะนำให้ผู้ลงทุนใช้หลักกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงสินทรัพย์เดียว และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยลงทุนผ่านกองทุนผสม ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายที่เน้นกระจายการลงทุน ได้แก่ K-GINCOME, K-PLAN2, K-PLAN3 สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนเป็นรายกองเพื่อเพิ่มสัดส่วนให้กับพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง ก็สามารถลงทุนในกองทุนที่สอดรับกับมุมมองข้างต้นได้เช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย กองทุนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ K-CHANGE, K-CHINA กองทุนหุ้นไทย ได้แก่ K-STAR กองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ K-SF ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนผ่านการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average : DCA) ผ่าน App K-My Funds เพื่อเป็นการฝึกวินัยทางการเงินและส่งเสริมให้เกิดความมั่งคั่งในอนาคต

 

นายอดิศรกล่าวต่อไปว่า แผนกลยุทธ์ปี 2566 ของบลจ.กสิกรไทย ว่า ได้ให้ความสำคัญใน 5 ด้าน โดยเริ่มต้นจาก 1) มุ่งสร้างผลตอบแทน ด้วยการต่อยอดและพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ 2) สร้างความน่าเชื่อถือ ผ่านการให้คำแนะนำที่เหมาะสมและทันต่อเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา 3) ดูแลคู่ค้าอย่างเข้าใจ พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตามโจทย์ของคู่ค้าแต่ละราย เพื่อนำไปเสนอขายให้ตรงใจผู้ลงทุน 4) บริหารพอร์ตให้กับผู้ลงทุนสถาบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และสภาพคล่องให้กับลูกค้าผู้ลงทุนสถาบัน และ5) ตัวช่วยวางแผนเกษียณ นำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายเกษียณให้แก่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 

 

“กลยุทธ์ดังกล่าวจะทำควบคู่กับการ บูรณาการด้าน ESG และครอบคลุมลูกค้าทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรวมถึงตัวแทนผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของ บลจ.กสิกรไทย 

 

นายอดิศรกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย มีจำนวนผู้ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลทั้ง K-PLUS และ K-My Funds เป็นจำนวน 357,086 ราย คิดเป็นสัดส่วน 43% จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด และสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ในทุกช่องทางรวมเป็นจำนวน 136,842 ราย 

 

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท ณ สิ้นแี 2565 แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 9.93 แสนล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.34 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.88 แสนล้านบาท โดยยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com