นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) และนายสุรเดช เกียรติธนากร พร้อมด้วยผู้บริหารของบลจ.กสิกรไทย ร่วมแถลงแผนกลยุทธ์ปี 2566 มุ่งสู่การเป็นธุรกิจที่ครองใจลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ภายใต้แนวคิด Top of Mind Investment House ควบคู่กับการบูรณาการด้าน ESG เพื่อช่วยยกระดับตลาดทุนไทย และเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมีความมั่งคั่งจากการลงทุนในกองทุนรวม อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน โดย บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมายปี 2566 เติบโตไปอยู่ที่1.55 ล้านล้านบาท
นายอดิศรกล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในปี 2566 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันยังมีแนวโน้มที่จะชะลอตัว ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง ในขณะที่ตลาดได้สะท้อนความคาดหวังต่อสัญญาณเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงไปแล้ว ทำให้ในระยะถัดไปคาดว่าจะเริ่มเห็นโอกาสการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียนำโดยประเทศจีน ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าฝั่งสหรัฐฯและยุโรป
“ปีนี้เฟดคงจะขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกระดับหนึ่งและทรงตัวอยู่ระดับสูงในปีนี้ เพื่อดูเงินเฟ้อ ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระวัง เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่คิดว่าไม่ลงลึก ปีนี้คิดว่าเฟดยังไม่ลดดอกเบี้ย รวมถึงยังมีกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ยังไม่ฟื้นตัวดีมากนัก จึงยังต้องเลือกลงทุนและระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น แต่จุดที่น่าสนใจ คือ ทุกครั้งที่ Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ขยับขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจังหวะที่น่าสนใจเข้าลงทุน”
สำหรับความน่าสนใจในตลาดหุ้นฝั่งเอเซีย นำโดยประเทศจีน ที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยเปิดประเทศ การบริโภคจำนวนมหาศาล จากความต้องการซื้อที่ถูกอั้นไว้(Pent Up Demand) จากช่วงที่ล็อคดาวน์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 และยังมีปัจจัยบวกจากดอกเบี้ยนโยบายที่ยังปรับลดลง คาดว่าตลาดหุ้นจีนจะกลับขึ้นมาได้ ที่สำคัญรวมทั้งจีนมีความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง หากเข้าลงทุนในระดับปัจจุบันนี้มีโอกาสขาดทุนค่อนข้างน้อย
ส่วนประเทศเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจจากระดับการประเมินมูลค่าหุ้น(Valuation) โดยคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ที่คาดเติบโต 12% ส่วนเศรษฐกิจมีอันราการเติบโตสูงกว่าหลายๆประเทศ จากปัจจัยภายในประเทศทั้งการบริโภค การส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ อีกทั้งในระยะยาว เวียดนามยังมีโอกาสที่จะได้รับการปรับสถานะจากตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) เป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้กองทุนต่างๆทั่วโลกเพิ่มน้ำหนักลงทุนกันซึ่งจะทำให้มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาได้อีกมาก
“การเปิดประเทศของจีน จะส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ราว 1.5% ตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทยก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจในปีนี้นอกเหนือจากตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรป ความน่าสนใจเริ่มลดน้อยลง จึงแนะนำลดน้ำหนักการลงทุน”
สำหรับประเทศไทยมีทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกมากขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม และเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ โดยมองเป้าหมายดัชนีปลายปีอยู่ที่ระดับ 1800 จุด ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันได้สะท้อนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตที่ระดับประมาณ 2.00-2.25% แล้ว มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจและอยู่ในระดับที่สามารถเข้าลงทุนได้
จากสภาวะตลาดปัจจุบันที่ยังสะท้อนความน่าสนใจของตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่เริ่มเห็นทิศทางการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก บลจ.กสิกรไทย จึงอยากแนะนำให้ผู้ลงทุนใช้หลักกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงสินทรัพย์เดียว และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยลงทุนผ่านกองทุนผสม ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายที่เน้นกระจายการลงทุน ได้แก่ K-GINCOME, K-PLAN2, K-PLAN3 สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนเป็นรายกองเพื่อเพิ่มสัดส่วนให้กับพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง ก็สามารถลงทุนในกองทุนที่สอดรับกับมุมมองข้างต้นได้เช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย กองทุนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ K-CHANGE, K-CHINA กองทุนหุ้นไทย ได้แก่ K-STAR กองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ K-SF ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนผ่านการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average : DCA) ผ่าน App K-My Funds เพื่อเป็นการฝึกวินัยทางการเงินและส่งเสริมให้เกิดความมั่งคั่งในอนาคต
นายอดิศรกล่าวต่อไปว่า แผนกลยุทธ์ปี 2566 ของบลจ.กสิกรไทย ว่า ได้ให้ความสำคัญใน 5 ด้าน โดยเริ่มต้นจาก 1) มุ่งสร้างผลตอบแทน ด้วยการต่อยอดและพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ 2) สร้างความน่าเชื่อถือ ผ่านการให้คำแนะนำที่เหมาะสมและทันต่อเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา 3) ดูแลคู่ค้าอย่างเข้าใจ พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตามโจทย์ของคู่ค้าแต่ละราย เพื่อนำไปเสนอขายให้ตรงใจผู้ลงทุน 4) บริหารพอร์ตให้กับผู้ลงทุนสถาบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และสภาพคล่องให้กับลูกค้าผู้ลงทุนสถาบัน และ5) ตัวช่วยวางแผนเกษียณ นำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายเกษียณให้แก่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
“กลยุทธ์ดังกล่าวจะทำควบคู่กับการ บูรณาการด้าน ESG และครอบคลุมลูกค้าทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรวมถึงตัวแทนผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของ บลจ.กสิกรไทย
นายอดิศรกล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย มีจำนวนผู้ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลทั้ง K-PLUS และ K-My Funds เป็นจำนวน 357,086 ราย คิดเป็นสัดส่วน 43% จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด และสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ในทุกช่องทางรวมเป็นจำนวน 136,842 ราย
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท ณ สิ้นแี 2565 แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 9.93 แสนล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.34 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.88 แสนล้านบาท โดยยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม