Krungthai GLOBAL MARKETS คาดเงินบาทวันนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 36.75-37.05 บาท/ดอลลาร์ จับตาไฮไลท์สำคัญ รายงานเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เดือนตุลาคม และรอผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.87 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.85 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งการเทอมสหรัฐฯ ที่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า พรรคการเมืองใดจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส ส่งผลให้บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง โดย ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง -2.08% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยลดความเสี่ยง ก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลเงินเฟ้อ CPI ในวันนี้ (เวลาประมาณ 20.30 ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมจะส่งสัญญาณชะลอตัวลงและช่วยเพิ่มโอกาสที่เฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้ หากเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ กลับเร่งตัวขึ้นสูงกว่าคาด ก็อาจกดดันให้ตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงต่อได้เช่นกัน
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.30% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด หลังจากที่ตลาดหุ้นยุโรปได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า โดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะลดความเสี่ยงลงบ้าง ก่อนรับรู้ผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ (Equinor -1.3%, TotalEnergies -0.8%) ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การระบาด COVID-19 ที่อาจกระทบต่อความต้องการใช้พลังงาน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.10% อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรระวังความเสี่ยงของรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เพราะหาก เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน มีการเร่งตัวขึ้นมากกว่าคาด ก็อาจทำให้ตลาดมีการปรับมุมมองความคาดหวังต่อทิศทางนโยบายการเงินของเฟด โดยเราสังเกตว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มักจะปรับตัวสูงขึ้น ตามมุมมองของตลาดต่อจุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบายเฟด (Terminal Rate) ที่ในปัจจุบันตลาดคาดว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยถึงระดับ 5.25%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน ความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดเผชิญความไม่แน่นอนทั้งผลการเลือกตั้งกลางเทอมและรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้โซน 110.5 จุด นอกจากนี้ การกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ผันผวนใกล้ระดับ 1,710 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านแถว 1,720 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ซึ่งควรระมัดระวังความผันผวนของราคาทองคำในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ รวมถึงผลการเลือกตั้งกลางเทอม (ยกเว้นการเลือกตั้งวุฒิสภาของรัฐจอร์เจียที่จะต้องมีการเลือกตั้งอีกรอบในต้นเดือนธันวาคม หลังจากที่ไม่มีผู้สมัครท่านใดได้คะแนนเกิน 50%)
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะจับตาอย่างใกล้ชิดและอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดการเงิน คือ รายงานเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคม โดยตลาดมองว่า เงินเฟ้อทั่วไป CPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 8.0% ตามการชะลอลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่วนราคาพลังงานก็ทรงตัว ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสำคัญต่อ เงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI โดยหาก Core CPI ชะลอลงสู่ระดับ 6.5% (คิดเป็นการเพิ่มขึ้นราว +0.5% จากเดือนก่อนหน้า) หรือต่ำกว่านั้น ก็อาจสะท้อนว่า เงินเฟ้อ โดยเฉพาะเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมั่นใจว่า เฟดอาจพิจารณาชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดๆ ไป
นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ควรติดตามต่อเนื่อง หลังจากที่พรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถทำผลงานได้ดีกว่าคาด ทำให้ผลการเลือกตั้งยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ในหลายรัฐที่คะแนนเสียงของทั้งสองพรรคมีความสูสีกัน
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจเริ่มถูกชะลอลงและมีโอกาสเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง หลังจากผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ในระหว่างที่รอผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ และรอลุ้นรายงานเงินเฟ้อ CPI โดยเราประเมินว่า หากเงินเฟ้อ CPI โดยเฉพาะเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI เร่งขึ้นมากกว่า +0.5% อาทิ +0.7% จากเดือนก่อนหน้า ก็อาจทำให้ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ตลาดเดินหน้าปิดรับความเสี่ยงและหนุนให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นได้
อย่างไรก็ดี ในกรณีดังกล่าว การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่ได้รุนแรงมากนัก หลังผู้ส่งออกบางส่วนเริ่มกลับมารอขายเงินดอลลาร์ในช่วง 37.30 บาทต่อดอลลาร์ จากช่วงก่อนหน้าที่ส่วนใหญ่จะรอแถว 38.00 บาทต่อดอลลาร์หรือสูงกว่านั้น นอกจากนี้ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติก็อาจยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อได้บ้าง ซึ่งเราประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยในระยะสั้น หากดัชนี SET ปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านแถว 1,650 จุด
ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.75-37.05 บาท/ดอลลาร์