Economies

วิจัยกรุงศรี ชี้ศก.ไทยผวาโอมิครอน ฟื้นตัวไม่แน่นอนท่ามกลางความเปราะบาง
8 ธ.ค. 2564

วิจัยกรุงศรี เผยโอมิครอนเป็นปัจจัยเสี่ยง ทำการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยไม่แน่นอนท่ามกลางความเปราะบาง

 

 

วิจัยกรุงศรี เผยแพร่บทวิเคราะห์มุมมองต่อเศรษฐกิจไทย ว่า การบริโภคและการส่งออกหนุนเศรษฐกิจเดือน ต.ค.ฟื้นตัว ขณะที่การระบาดของไวรัสโอมิครอนจะเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจไทย โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือน ต.ค.ปรับดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน (+1.6% MoM sa) ตามความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุม และแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ขณะเดียวกันการส่งออกยังคงเติบโตดีตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ประเทศคู่ค้า ประกอบกับปัญหาการชะงักงันของห่วงโซ่การผลิตคลี่คลายลงบ้าง ทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถผลิตและส่งออกได้ดีขึ้น
          

ขณะเดียวกัน ผลจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ หนุนให้ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค. เติบโตต่อเนื่องจากเดือนก่อน (+2.9%) สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชนแม้จะปรับลดลง (-1.2%) หลังจากเร่งขึ้นในเดือน ก.ย.ก็ตาม แต่ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน พ.ย.ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ 48.4 จากเดือนก่อน 47.0
          

สำหรับเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัว ปัจจัยหนุนจากสถานการณ์การระบาดในประเทศที่บรรเทาลง การฉีดวัคซีนมีมากขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุม ประกอบกับผลเชิงบวกจากการเปิดประเทศ ล่าสุดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนพ.ย. รวมทั้งสิ้น 133,061 คน เร่งขึ้นจากเดือน ต.ค.ที่ 20,272 คน
          

นอกจากนี้ ความต่อเนื่องของมาตรการรัฐยังช่วยสนับสนุนการใช้จ่าย และการท่องเที่ยวในประเทศช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอนเกิดขึ้นในประเทศทางแอฟริกา และเริ่มตรวจพบในหลายประเทศมากขึ้นรวมถึงไทยด้วย ขณะที่ปัจจุบันยังต้องติดตามรายละเอียดที่ชัดเจนถึงความรุนแรงของสายพันธุ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงสร้างแรงกดดันต่อการฟื้นตัวในระยะข้างหน้าได้
          

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน พ.ย.เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน แต่คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 65 โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน พ.ย. อยู่ที่ 2.71%YoY จาก 2.38% เดือน ต.ค. สาเหตุสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศ (+37.2%) ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดอาหาร โดยเฉพาะผักสด (+12.7%) ซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากอุทกภัยช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการปรับขึ้นของราคาเครื่องประกอบอาหาร (+6.2%) เนื่องจากความต้องการและต้นทุนขนส่งที่ปรับเพิ่ม
          

ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.29% เพิ่มขึ้นจาก 0.21% เดือนต.ค. สำหรับในช่วง 11 เดือนแรกของปี 64 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.15% และ 0.23% ตามลำดับ
          

"แม้อัตราเงินเฟ้อของไทยจะเร่งขึ้นในช่วงปลายปีนี้ และมีแนวโน้มอาจแตะระดับสูงใกล้ 3% ในช่วงไตรมาส 1/65 เนื่องจากผลของฐานที่ต่ำและการส่งผ่านของต้นทุน แต่คาดว่าจะชะลอลง และกลับมาแตะระดับใกล้ขอบล่างของกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการที่ 1% ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงเอื้อให้กนง. ยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความเปราะบาง และเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพ" บทวิเคราะห์ ระบุ
          

วิจัยกรุงศรี ระบุว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจโลกเดือน พ.ย. ปรับตัวดีขึ้น แต่ไวรัสโอมิครอนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในระยะต่อไป ในเดือน พ.ย. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการของโลกแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 64 ที่ 54.8 โดยดัชนีของกลุ่มประเทศแกนหลัก อาทิ ยูโรโซน ญี่ปุ่น ปรับดีขึ้นสู่ระดับ 55.8 และ 53.3 ตามลำดับ สะท้อนการขยายตัวต่อเนื่อง (ค่าดัชนี > 50) ของกิจกรรมในภาคการผลิตและภาคบริการ
          

ด้านองค์ประกอบของดัชนี PMI ของโลกปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านผลผลิต ยอดสั่งซื้อใหม่ ยอดสั่งซื้อเพื่อการส่งออก และการจ้างงาน อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบทางด้านราคาบ่งชี้ว่าแรงกดดันเงินเฟ้อยังเพิ่มสูงขึ้น จากปัจจัยด้านต้นทุนการผลิตที่ได้รับผลกระทบ จากปัญหาข้อจำกัดด้านอุปทาน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะน้ำมันที่พุ่งขึ้น
          

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ประเมินว่าภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงอาจยาวนานกว่าที่คาดและถือเป็นความเสี่ยงสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางของประเทศแกนหลักปรับนโยบายการเงินเร็วและแรงกว่าคาดการณ์เดิม จนสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ
          

อย่างไรก็ดี OECD ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP โลกในปีนี้ลงเล็กน้อยอยู่ที่ 5.6% จากเดิมคาด 5.7% ส่วนในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 4.5% นอกจากนี้ OECD ยังระบุถึงความเสี่ยงจากไวรัสกลายพันธุ์ที่อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนกว่า 50 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งเตือนว่าไวรัสกลายพันธุ์ดังกล่าวสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว และคาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุเตรียมปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกจากปัญหาไวรัสสายพันธุ์ใหม่
          

วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนถือเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยการใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทาง การขนส่ง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และอาจซ้ำเติมภาวะชะงักงันด้านอุปทาน ส่วนความกังวลด้านเงินเฟ้อ แม้อาจเผชิญแรงกดดันจากข้อจำกัดด้านอุปทาน และปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แต่ราคาพลังงานที่ปรับลดลงอาจช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป
          

ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง คาดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเร่งปรับลด QE ให้เสร็จก่อนกลางปีหน้าเพื่อปูทางปรับขึ้นดอกเบี้ยช่วงครึ่งปีหลัง ในเดือนพ.ย. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ปรับตัวดีขึ้นทั้งภาคการผลิตที่เพิ่มสู่ระดับ 61.1 สูงกว่าตลาดคาด และนอกภาคการผลิตซึ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มจัดทำข้อมูลในปี 40 ที่ 69.1 ด้านการจ้างงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 5.34 แสนตำแหน่ง สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่อัตราการว่างงานแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 63 ที่ 4.2% ส่วนจำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 พ.ย. ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือนที่ 1.95 ล้านคน
          

ส่วนตลาดแรงงานของสหรัฐฯ มีแนวโน้มทยอยปรับตัวดีขึ้น ล่าสุดอัตราการว่างงานแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาด สอดคล้องกับรายงาน Beige Book ของเฟด ที่ระบุถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจระดับปานกลางในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. ล่าสุดประธานเฟดส่งสัญญาณเร่งการปรับลดแรงกระตุ้นทางการเงิน โดยกล่าวต่อสภาคองเกรสว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งมากขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
          

ทั้งนี้ ยังประเมิน ว่า ความเสี่ยงจากปัญหาไวรัสกลายพันธุ์โอมิครอน อาจเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อจากปัญหาการชะงักงันด้านอุปทาน และการขาดแคลนแรงงานจากความวิตกกังวลต่อการระบาด จากปัจจัยดังกล่าว เฟดจึงเห็นควร ว่า จะหารือเรื่องการยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรให้เร็วขึ้นกว่าเดิมในการประชุมวันที่ 14-15 ธ.ค. นี้ ซึ่งวิจัยกรุงศรีประเมินว่า เฟดจะประกาศเร่งปรับลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการ QE ให้เสร็จสิ้นก่อนกลางปีหน้าเพื่อปูทางให้สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อย่างน้อย 25 bps ในช่วงครึ่งหลังของปี 65
 

--------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
Facebook : Clubhoon
Website : www.Clubhoon.com
Twitter : www.twitter.com/Clubhoon1

 

 


 

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com