ค่าเงินบาท “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” เปิดเช้านี้ที่ 36.39 บาท/ดอลลาร์ Krungthai GLOBAL MARKETS มองกรอบวันนี้ คาดจะอยู่ที่ระดับ 36.35-36.55 บาท/ดอลลาร์ รอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.39 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.37-36.48 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงเกือบทดสอบโซนแนวต้าน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากถ้อยแถลงในช่วงก่อนหน้า ซึ่งประธานเฟดยังคงย้ำว่า เฟดยังรอความชัดเจนของแนวโน้มเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันประธานเฟดก็มองเห็นถึงความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น หากเฟดใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวนานเกินไป ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ถ้อยแถลงของประธานเฟดไม่ได้มีความ Dovish มากขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ ราว 2 ครั้ง และมีโอกาสราว 76% ที่เฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน (จาก CME FedWatch Tool ล่าสุด) อย่างไรก็ดี เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หลังราคาทองคำพลิกกลับมารีบาวด์ขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท
แม้ว่าถ้อยแถลงของประธานเฟดจะไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะ Nvidia +2.5% ตามการปรับเป้าราคาขึ้นของนักวิเคราะห์ จากความหวังว่า ผลประกอบการของ Nvidia จะมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มอื่นๆ โดยรวมทรงตัว เพื่อรอลุ้นรายงานผลประกอบการ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.14% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.07%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.90% กดดันโดยแรงขายหุ้นฝรั่งเศส ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส นอกจากนี้ หุ้นบางส่วนยังเผชิญแรงกดดันจากการประกาศคาดการณ์ผลประกอบการที่ลดลงและแย่กว่าที่ตลาดได้ประเมินไว้ อาทิ Dassault Systems -5.2%, BP -4.3%
ในส่วนตลาดบอนด์ ถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ไม่ได้ส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดที่ชัดเจน ยังคงส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัว sideways แถวโซน 4.30% ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและปรับสถานะถือครองบอนด์ที่ชัดเจนอีกครั้ง อย่างไรก็ดี บอนด์ยีลด์ระยะยาวก็มีโอกาสผันผวนสูงขึ้น หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด หรือ อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอลงตามคาด กอปรกับ ผู้เล่นในตลาดก็อาจยังคงมีความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ หากสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ ทว่า เราคงมุมมองเดิม เน้นกลยุทธ์ “Buy on Dip” บอนด์ระยะยาว ในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็เผชิญแรงกดดันจากจังหวะปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่วนเงินยูโร (EUR) ก็ยังถูกกดดันจากความกังวลสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 105.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.9-105.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงแรกของการทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ย่อตัวลงบ้าง ทว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่าเฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ยังคงช่วยหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นกลับสู่ระดับ 2,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส ซึ่งเราประเมินว่า อาจไม่ได้มีความแตกต่างจากถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรสในวันก่อนหน้า ส่วนในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดก็จะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อรอประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ BOE และจังหวะการลดดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้
ส่วนทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนมิถุนายน พร้อมจับตาผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50%
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เพื่อให้มั่นใจว่า แนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงต่อเนื่องได้ จนทำให้เฟดสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ทำให้ เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways แถวโซน 36.40-36.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนของเงินหยวนจีน (CNY) ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของจีน (ในช่วงราว 8.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งหากข้อมูลดังกล่าวยังคงสะท้อนภาพการใช้จ่าย การบริโภคในจีนที่ยังคงซบเซา ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน กดดันให้เงินหยวนจีนมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ได้บ้าง ทั้งนี้ เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมาก ตราบใดที่ ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องชัดเจน รวมถึงตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งตัว sideways หรือปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ซึ่งจะช่วยชะลอแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.35-36.55 บาท/ดอลลาร์