เอเซียพลัส ชี้ช่วงเดือนเมษาฯ เงินร้อนต่างชาติทะลักเข้าบอนด์ไทย ดันยอดซื้อสุทธิ 5.7 หมื่นล้าน พุ่ง 5 เท่าจากไตรมาสแรก ชี้ เผย Yield Curve ตราสารหนี้ไทยแม้เปิด downside มากกว่า upside เพราะดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาลง แต่ก็มีกรอบลงจำกัด คาด yield ทรงตัวไปถึงลงเล็กน้อย จนกว่าจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ขณะที่ ธปท. น่าจะลดดอกเบี้ยช่วงครึ่งปีหลัง แนะกระจายลงทุนทั่วโลก เชียร์ 4 กองทุนโลก “บอนด์-หุ้น” ขี่กระแสโลกที่ไม่แน่นอน
คุณลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ปโฮลดิ้งส์จำกัด (มหาชน) หรือ ASPS กล่าวว่า ช่างต้นไตรมาส 2 นี้ พบว่านักลงทุนต่างชาติ ย้ายเงินจากตลาดหุ้นเข้ามาลงทุนตลาดตราสารหนี้ไทยจำนวนมากหลังจากที่สหรัฐประกาศ เริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนรวมถึงตลาดหุ้นไทยโดยพบว่าตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายนจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้ไทย 57,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดซื้อสุทธิของต่างชาติในไตรมาสแรกทั้งไตรมาสถึง 5 เท่า แบ่งเป็นการซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นจำนวน 27,000 ล้านบาทและที่เหลือ 30,000 ล้านบาท เป็นตราสารหนี้ระยะยาว ขณะที่มุมมองของตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) อาจจะมีการพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งปีหลัง
“คาดว่าตลาดตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะมีการเคลื่อนไหวแบบลงจำกัดอย่างเสียไม่ได้ เนื่องจากการคาดการณ์ว่า แบงก์ชาติ จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก จากระดับ 2.00% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 1.50-1.75% ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อรองรับการคาดการณ์ล่วงหน้า สังเกตได้จากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 3 ปี ที่ตอนนี้อยู่ในช่วง 1.55-1.71% โดยล่าสุดตลาดคาดว่า แบงก์ชาติจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในช่วงกลางปีลงไป โดยเส้นอัตราผลตอบแทน ( Yield Curve) พันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นไตรมาสแรก มีการปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หลัง กนง ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเร็วกว่าตลาดคาดส่งผลให้ อัตราผลตอบแทนภาครัฐอายุ 2-10 ปี ปรับลง 31-35 bps มาอยู่ที่ 1.69%, 1.74% และ 1.99% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้”
โดยภาพรวมการลงทุนของตลาดตราสารหนี้ไทยในปีนี้ แม้ผันผวนมากขึ้น แต่ยังพอไปได้ โดยนักลงทุนยังมีความต้องการลงทุนเพียงแต่จะ selective buy มากยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดมีความกังวลจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออก 3 ราย และ การเลื่อนกำหนดชำระของผู้ออก 9 ราย ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความต้องการซื้อตราสารหนี้ไทยที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า Investment grade และ มีอายุไม่เกิน 1-3 ปี ยกเว้น Perpetual bonds ที่เป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั่วไปอยู่แล้วถ้าบริษัทที่ออกเป็นที่รู้จักและให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 4.00-5.00% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ทั่วไปส่วนใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า 4.00%
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำสำหรับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภายใต้สภาวะตลาดที่ผันผวน เนื่องจาก ปัจจัยเสี่ยงมากมายทั้งภายในและภายนอก เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หนี้เสีย ภาวะเศรษฐกิจที่โตต่ำ และสงครามการค้าทั่วโลก จึงกดดัน yield ระยะสั้นให้โงหัวไม่ขึ้นตามการคาดการณ์การปรับตัวลงของดอกเบี้ยนโยบาย แต่อย่างไรก็ตามตลาดพร้อมดีดตัวกลับอย่างเร็วและแรงเมื่อเห็นสัญญาณ bottom out ของภาวะดอกเบี้ย จึงแนะนำให้ selective buy ตามวัตถุประสงค์การลงทุน ถ้าวัตถุประสงค์เพื่อ ” trading “ แนะให้ซื้อตราสารหนี้ภาครัฐ โดยความเสี่ยงจากการขาดทุนจะมากขึ้นตามอายุตราสาร ดังนั้น จึงแนะนำให้ trade พันธบัตรที่อายุไม่เกิน 5 ปี แต่ถ้าวัตถุประสงค์ “ Buy and Hold” แนะให้ซื้อ Perpetual bonds หรือ หุ้นกู้ที่อันดับเครดิตสูง ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวพันกับปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต อย่างเช่น อาหารและเครื่องดื่ม (Food), การแพทย์ (Helth), ธุรกิจการเกษตร (Agri) เป็นต้น
สำหรับช่วงสามไตรมาสที่เหลือของปีนี้ มีมูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวครบกำหนด 686,004 ล้านบาท โดยจะครบในช่วงไตรมาสสอง 38.17% ช่วงไตรมาสสาม 29.3% และ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ 32.53% ซึ่งจะครบกำหนดมากสุดในเดือน พฤษภาคม มิถุนายน และ กรกฏาคม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังครองอันดับหนึ่งของการมีมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุด คือ กลุ่มพลังงาน (ENER) ซึ่ง 5 อันดับแรกของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวสูงสุด คือ กลุ่มพลังงาน (ENER) กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (PROP) กลุ่มพาณิชย์ (COMM) และ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT) โดย 5 กลุ่มนี้มียอดคงค้างคิดเป็น 60% ของมูลค่ารวมทั้งตลาด แต่ถ้ามองในมุมของอันดับเครดิตแล้ว หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A มีมูลค่าคงค้างสูงสุด แต่ ถ้ามองทุกอันดับเครดิตรวมกันกว่า 93% เป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade (BBB-) ขึ้นไป
ทั้งนี้ ยอดคงค้างตราสารหนี้ไทย ณ สิ้น Q1/2025 อยู่ที่ 17.5 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.2% จากปีที่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรภาครัฐ สวนทางกับยอดคงค้างของตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว หรือ หุ้นกู้ระยะยาว ที่ปรับลดลง 1.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลงมาอยู่ที่ 203,486 ล้านบาท
คุณสภาช ประจบ ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ กล่าวว่า “ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความผันผวน ราคาหุ้นเหวี่ยงแบบไร้ทิศทาง ข่าวลบถาโถม แต่ถ้านักลงทุนเข้าใจหลักการของ Regression to the Mean ว่า“ทุกความสุดโต่ง… ไม่ช้าก็จะกลับเข้าสู่สมดุล” พายุกระหน่ำวันนี้สุดท้ายก็จะผ่านไปและฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ ดังนั้นใน Q2/2025 นี้ ASP ขอแนะนำ 4 กองทุน 1.UGIS-N 2. SCBCEH 3. K-GSELECT 4. KFGDIV-A พิชิตทุกความความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่ดีในปีนี้ ”
ในไตรมาส 2 ปี 2025 จากสถานการณ์ “Reciprocal” จากปธน.โดนัลล์ ทรัมป์ ซึ่งสร้างความปั่นป่วนต่อการลงทุนไปทั่วโลก ทีม Investment Advisory แนะนำ เปิดเกมรุกด้วยกลยุทธ์. “รับให้แน่น – รุกให้หนัก” เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนโดยเน้นการกระจายความเสี่ยงอย่างรอบคอบพร้อมคัดเลือกสินทรัพย์คุณภาพสูงเพื่อตอบรับสัญญาณเข้าสู่ช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจ ตามมุมมองของ Fidelity Investment การปรับพอร์ตในเวลานี้จึงไม่ใช่แค่การป้องกันความเสี่ยง แต่คือโอกาสในการเสริมความแกร่งให้พอร์ตในระยะยาว
โดบแนะนำ 4 กองทุนเด่น ที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงและเป้าหมายของนักลงทุน ได้แก่ UGIS-N ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลกผ่าน PIMCO GIS Income Fund – ซื้อทันที , SCBCEH ลุยหุ้นจีนขนาดใหญ่ผ่าน Hang Seng H-Share Index ETF – ซื้อทันที , K-GSELECT คัดหุ้น Defensive จากประเทศพัฒนาแล้ว โดยเน้นสหรัฐฯ – ทยอยสะสม , KFGDIV-A ลงทุนในหุ้น Defensive ปันผลทั่วโลก สร้างกระแสรายได้มั่นคง – ทยอยสะสม
“ส่วนธีมหลัก คือ "รอบคอบแต่ไม่ถอย" เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมพอร์ตให้แข็งแรงในระยะกลางถึงยาว พร้อมสร้างสมดุลระหว่าง รายได้สม่ำเสมอและการเติบโตที่ยั่งยืน ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน สำหรับนักลงทุนในกองทุนแอลทีเอฟที่ติดอยู่ในเวลานี้สามารถเลือกย้ายไปลงทุนกองทุนไทยอีเอสจีเอ็กซ์ได้เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นไทยตอนนี้ปรับตัวลดลงมาต่ำมากๆจึงเป็นโอกาสที่จะสามารถเข้าลงทุนเพื่อรอการปรับตัวขึ้นในระยะข้างหน้า” คุณสภาช กล่าว