Economies

ธปท. ชี้ ศก.ฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ดอกเบี้ยขึ้น แรงส่งแจกเงินดิจิทัลปั๊มGDP โตเกิน 4%  เตือนรับมือเงินบาทสวิง
11 ต.ค. 2566

ธปท.  ยันการขึ้นดอกเบี้ย ไม่ได้ฉุดเศรษฐกิจลง พร้อมถอนคันเร่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ย้ำเป็นการปรับเข้าสู่จุดสมดุล  ชี้ ศก.ยังฟื้นตัวดีต่อเนื่อง  แรงส่งแจกเงินดิจิทัลหมุนศก.โตเกิน 4%  เตือนค่าเงินบาทยังสวิง จากปัจจัยต่างประเทศและในประเทศ 

 

วันนี้ (11ต.ค. 2566) ธนาคารแห่งประเทศไทย นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  กล่าวในงาน "Monetary Polycy Forum"  3/2023  ซึ่งพูดคุยกับนักเศรษฐศาสตร์ในสถาบันเอกชน ว่า  ธปท.  กำลังถอนคันเร่ง "การดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย " อย่างค่อยเป็นค่อยไป  และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะเข้าสู่ระดับสมดุลในระยะปานกลาง หรือ 2 ปีข้างหน้า 

 

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย  ในช่วงโควิด ได้ดำเนินการผ่อนคลายอยู่ระดับต่ำสุดที่ 0.50% เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2563 และกนง. ได้ดำเนินการปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังโควิดตั้งแต่ปีที่แล้ว โดย เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2565 เริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเป็นครั้งแรก 0.25% มาสู่ระดับ 0.75%  จนถึงปัจจุบันเฉลี่ย 2% นับว่าต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายของต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น 4% จะเห็นว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าไทยมาก  ส่วนการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กว่า 60% ถูกส่งผ่านไปยังธนาคารพาณิชย์ ซึ่งธนาคารต่างๆได้มีการปรับขึ้นโดยแบ่งกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ และลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม กนง. จะคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และยืนยันว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯที่ผ่านมา ไม่ได้ฉุดเศรษฐกิจลง

 

สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย  ยังมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องโดยคาดการณ์ GDP ปีนี้เติบโต 2.8% และ 4.4% ในปีนี้และปีหน้าตามลำดับ  

 

"หากรัฐบาลเดินหน้าโครงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ในปีหน้า จะส่งผลต่อภาคการบริโภคเอกชนขยายตัวสูง จะทำให้ GDP โตเกิน 4% (แต่ไม่ระบุว่าจะถึงเป้าหมาย5%ของรัฐบาลหรือไม่) ส่วนโครงการนี้ เมื่ออัดเงินสู่ระบบ 5.6 แสนล้าน จะสร้างเงินหมุนหรือตัวทวีคูณ 0.3-0.6%  คทอถ้าใส่เงินเข้าระบบ 100 บาท จะมีเงินหมุนเวียนเพิ่ม 30-60 บาท แต่ถ้าไม่มีโครงการนี้  เศรษฐกิจก็ขยายตัวได้อยู่แล้ว "

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการแจกเงินดิจิทัล จะช่วยเพิ่มการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน จึงได้ปรับประมาณการณ์ปี 2567 ภาคการบริโภคเอกชนขึ้นมาเป็น4.6% จากเดิมคาดไว้แค่ 2.6%  ในปีหน้า จะเห็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจมาพร้อมกันหลายตัว จากบริโภคเอกชน  ภาคการลงทุนที่จะมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สร้างสนามบิน 3 แห่งจะเห็นภาคเอกชนร่วมลงทุน การส่งออกจะกลับมาเป็นบวก 4.2% จากปีนี้คาดติดลบ 1.7%

 

"เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตได้จากอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก  อุปสงค์ในประเทศโตดีมากกว่าค่าเฉลี่ย 2 เท่า  และ เชื่อว่ายังฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง จากภาคท่องเที่ยว แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมาต่ำกว่าคาดเดิมที่อยู่ 29 ล้านคน  เพราะชาวจีนมาน้อยกว่าคาด  ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวชาติอื่นเข้ามามากก็ตาม จึงได้ปรับคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 28.5 ล้านคน ในปีนี้และ เหลือ 35 ล้านคนในปีหน้า"

 

สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน  จากปัจจัยสงครามอิสราเอล มีความยืดเยื้อและคาดเดาไม่ได้สิ่งที่ห่วง คือ ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น และอยู่ในระดับสูงระยะหนึ่ง  เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ จะแข็งค่าขึ้น  ทำให้ค่าเงินบาทอ่อน กระทบต่อต้นทุนนำเข้าของไทย  โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมัน ซึ่งจะส่งต่อต้นทุนราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

 

"ค่าเงินบาทยังมีความไม่แน่นอนสูงและสวิง  หลักๆมาจากปัจจัยภายนอก เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ราคาน้ำมัน ทองคำ  ค่าเงินบาท ยังเป็นตัวแปรที่สำคัญที่กนง. จับตาดูอยู่เพราะมีทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่ากว่าชาวบ้านอย่างไรก็ตาม กนง. พยายามดูไม่ให้เผ็นต้นทุนต่อชาวบ้านและเศรษฐกิจมากนัก "

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com