ดร.กอบศักดิ์ ชี้ FED อาจขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งตลาดยังผันผวนสูง ตีโจทย์ ศก. ท้าทายรัฐบาลใหม่ บล.เอเซียพลัส มองหุ้นไทย มีลุ้นปรับขึ้นช่วงแคบกำไร บจ.โตต่ำ ThaiBMA คาดดอกเบี้ยไทยขึ้นถึง2.25% ในครึ่งปีหลัง ยีลด์บอนด์อายุ 5 ปี และ 10 ปีอาจปรับขึ้นประมาณ 10 – 15 bsp. แนะกระจายการลงทุน
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย จัดงานสัมมนา “จัดทัพลงทุนต้อนรับรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน” ณ ห้องประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านการลงทุนให้แก่นักลงทุนทั่วไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจเข้าร่วมงาน ณสถานที่จัดงานและผ่านระบบออนไลน์
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของFED ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ โดยเอเชียได้รับผลกระทบน้อยเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ EU และละตินอเมริกา ทั้งนี้เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง จึงคาดว่า FED จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 - 2 ครั้งซึ่งย่อมส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวน มีโอกาสสูงที่ในปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยเศรษฐกิจไทยอาจโดนผลกระทบบ้างแต่น่าจะผ่านไปได้ คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัว 2.7-3.7%
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจของไทยภายใต้รัฐบาลใหม่จะขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองใหญ่ที่จะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะส่งผลอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายอย่างไรก็ดี ไม่ว่ารัฐบาลใหม่จะมีหน้าตาอย่างไร เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลง Technology ที่มี AI เข้ามาแทนที่ และโครงการพัฒนาที่จะดึงดูดเงินลงทุนของต่างชาติเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
ในช่วงเสวนา “ปรับพอร์ตต้อนรับรัฐบาลใหม่ พร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย” ที่มีผู้ร่วมเสวนาจาก 3 องค์กรมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นต่อการลงทุนโดยคุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
รองกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี2023 มีโอกาส Upside แคบๆ เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2022 ไม่สูงนักและมีแรงกัดดันจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงปัจจัยทางการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากตลาดไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีนโยบายไปในทิศทางใด จึงยังไม่สามารถ price in ความเสี่ยงทางการเมืองได้ ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการคลายความกังวลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่เริ่มมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย กลุ่มอุตสาหกรรม (sector) ที่มีความน่าสนใจให้เข้าลงทุนในช่วงนี้จึงเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับ Consumption ที่กลับมาฟื้นตัวได้ดี เช่น กลุ่มค้าปลีก Finance ธนาคาร ธุรกิจสื่อ และอาหาร
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นต่ำกว่า 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นตามการคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีการปรับตัวลดลงจากการรับรู้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคต สอดคล้องกับผลสำรวจของThaiBMA ที่ผู้ร่วมตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 1 ครั้ง จาก 2.00% เป็น 2.25% ในครึ่งหลังของปี 2023 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะมีการปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10 – 15 bsp. ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนและควรมีการกระจายความเสี่ยงโดยไม่กระจุกตัวในตราสารหนี้ตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป นอกจากนี้ หุ้นกู้มักมีสภาพคล่องไม่สูงจึงควรเลือกลงทุนหุ้นกู้ที่สามารถถือได้จนครบอายุเพื่อลดความเสี่ยงสภาพคล่อง
คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงาน Wealth Management บลน. ฟินโนมีนา มองว่าตั้งแต่ต้นปี 2023 เป็นต้นมา NASDAQ ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดที่ 15% เนื่องจากมีหลายบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวขัองกับ AI โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัว ประกอบกับคาดว่าสหรัฐฐ ไม่น่าจะเกิด recession ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นสหรัฐฯ ขึ้นต่อได้ ดังนั้นนักลงทุนควรเน้นการลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง โดยนักลงทุนที่กังวลเศรษฐกิจถดถอย สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่ม Defensive และสำหรับผู้ลงทุนที่ชอบตราสารหนี้
"มองว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนตราสารหนี้มี upside ที่น่าสนใจเนื่องจากบทศึกษาของ PIMCO ที่มีข้อมูลสถิติชี้ให้เห็นว่าหลังจากเกิดวิกฤติ yield ของตราสารหนี้มักสูงขึ้นและจะลดต่ำลง ทำให้มี capital gain จากการลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งนี้แนะนำให้เน้นลงทุนในตราสารหนี้กลุ่ม Investment grade" คุณชยนนท์ กล่าว