Economies

ธปท. ชี้แบงก์ SVB ล้ม กระทบแบงก์ไทยจำกัด  บล.พาย มองหุ้นไทยปีนี้ต่ำสุด 1,500 จุด แนะครึ่งปีหลังสะสมหุ้น
13 มี.ค. 2566

ธปท. ประเมินผลกระทบจากแบงก์สหรัฐ ‘ SVB’ ล้ม ต่อแบงก์ไทยน้อย ระบุแบงก์ไทยไม่มีธุรกรรมโดยตรงกับSVB ขณะที่เกี่ยวข้องกับฟินเทคและสตาร์อัพทั่วโลกไม่ถึง1%ของเงินกองทุนทั้งระบบ และไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ส่วนกลุ่มเครือแบงก์ถือสินทรัพย์ดิจิมัลรวมกันไม่ถึง 200 ล้านบาท ย้ำธปท.มีการกำกับดูแลเข้มงวดอยู่แล้วด้านบล.พาย มองหุ้นไทยลงอีกไม่มาก หลังจากปีที่แล้วร่วงลงมากแล้ว คาดดัชนีต่ำสุด1,500 จุด สูงสุด 1,700 จุด ชี้ครึ่งปีหลังโอกาสสะสมหุ้น และรอทำกำไรปีหน้ารับเศรษฐกิจโตแรงกว่าปีนี้

 

นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงถึงการประเมินผลกระทบเหตุการณ์ล้มละลายของ Silicon Valley Bank (SVB) ต่อระบบการเงินไทย ณ วันที่ 13 มี.ค. 66  ว่ากรณีธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ที่ประสบปัญหาฐานะทางการเงิน ซึ่ง Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) มีคำสั่งให้ปิดกิจการเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. 2566 นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการรับฝากเงินและการปล่อยกู้ที่กระจุกตัวอยู่ที่ลูกค้ากลุ่มกองทุน venture capital หรือ VC ในบริษัท fintech และบริษัท start-up ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้าของ SVB ระดมทุนได้ยากหรือมีต้นทุนสูงขึ้น จึงต้องถอนเงินฝากที่ SVB เพื่อใช้ในธุรกิจ และบางกลุ่มถอนเงินฝากเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนสูงกว่าส่งผลให้ SVB ต้องขายพันธบัตรในราคาต่ำลงมากเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งเกิดผลขาดทุน กระทบฐานะของธนาคารและความเชื่อมั่น จนต้องถูกควบคุมโดย FDIC ตามที่เป็นข่าว  

 

จากข้อมูลในตลาดการเงินโลก ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารโดยรวมปรับลดลงและราคาในการประกันความเสี่ยงปรับเพิ่มขึ้นจากความกังวลต่อการลุกลามไปยังธนาคารอื่น โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเทคโนโลยีและคริปโทเคอร์เรนซี อย่างไรก็ดี การที่ทางการสหรัฐฯ ประกาศจะจ่ายคืนผู้ฝากทุกรายเต็มจำนวน และจัดตั้ง Bank Term Funding Program เพื่อปล่อยสภาพคล่องให้แก่ระบบธนาคาร น่าจะช่วยลดโอกาสที่สถานการณ์จะลุกลามจนส่งผลอย่างมีนัยต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามสถานการณ์และผลกระทบต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด  

 

สำหรับสถานการณ์ในไทย ผลกระทบจากกรณี SVB ต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยมีจำกัด เนื่องจากไม่มี ธพ. ไทยที่มีธุรกรรมโดยตรงกับ SVB และปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่ม ธพ. ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1 % ของเงินกองทุนของกลุ่ม ธพ. ที่สำคัญพบว่า ธพ. ไทยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่กลุ่มธุรกิจของธพ. ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับต่ำที่ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่ง ธปท. ขอย้ำว่ามีการกำกับดูแลธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและ venture capital ที่เข้มงวด เช่น การให้หักเงินลงทุนในเหรียญออกจากเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET1) ในทุกกรณี รวมทั้งกำหนดเพดานการลงทุนและการกำกับความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ เพื่อป้องกันผลกระทบจากความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่ม ธพ. ต่อเงินฝากของประชาชน  

 

ด้านค่าเงินบาท ล่าสุดปรับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาค ภายหลังนักลงทุนคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ข้างต้นจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เงินดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่าลงเร็ว ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ จะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะถัดไป 

 

ด้านนายกวี ชูกิจเกษม. Head of  Research and Content บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย  จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์สั่งปิดแบงก์  SVB ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้ตบาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง  ถือเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของวิกฤตสหรัฐแล้ว หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วจาก 0.00-0.25% จนอยู่ระดับสูงกว่า 3-4%ในปัจจุบัน และคาดว่าปีนี่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึงระดับ 5%  ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น และบางภาคธุรกิจปรับตัวรับกับต้นทุนสูงไม่ได้ ซึ่งสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อและร่วมลงทุนในธุรกิจดังกล่าว มีปัญหาสภาพคล่องหนักและเกิดปัญหาการล้มของ SVB ซึ่งจากนี้ไปต้องตามทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นอย่างไรต่อไป ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่งและเงินเฟ้ออยู่ระดับสูง ทั้งนี้ตลาดหุ้นสหรัฐได้ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐปีที่แล้วได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นสูง ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง30% และ ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลง 20%จากปี 2564

 

สำหรับผลกระทบจากปัญหา  SVB ล้ม ต่อตลาดหุ้นไทย นายกวี มองว่า เนื่องจากศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งมาจากภาคการบริโภคในประเทศดีขึ้นภาคค้าปลีกอสังหาริมทรัพย์ และภาคส่งออก และที่สำคัญภาคท่องเที่ยวที่พลิกกลับมาทำรายได้ให้แก่ประเทศ คาดว่าจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเป็นบวกได้ ส่วนธนาคารพาณิชย์ไทยมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องภายในระบบยังอยู่ระดับสูงจึงประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะปรับตัวลงแรงหลังจากปีที่แล้วที่ลดลงมามากแล้ว  จึงมองว่าปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุนสะสมหุ้น  โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง

 

“เนื่องจากปีที่แล้วลงเยอะและปีนี้ลงอีก ปีนี้คาดว่าจุดต่ำสุด 1,500 จุด และสูงสุดที่ระดับ1,700 จุด ส่วนการเลือกตั้งของไทย คิดว่า หลังการเลือกตั้ง เป็นช่วงฮันนีมูนของรัฐบาลใหม่และให้ทำงานไปในช่วง 1 ปีแรก ซึ่งก็จะทำให้เห็นการเบิกใช้จ่ายงบประมาณทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐมากขึ้น ที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องจนถึงปีหน้า  ดังนั้นจึงแนะนำในช่วงครึ่งปีหลังซื้อหุ้นสะสม เพราะปี 2567  ถือว่าจะเป็นปีทองของตลาดหุ้นไทย จากการที่โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตมากกว่าปีนี้  ขณะที่สถานการณ์วิกฤตสหรัฐน่าจะดีขึ้นกว่าปีนี้ และทิศทางดอกเบี้ยเฟดน่าจะลดลง” นายกวีกล่าว

 

 

 

 

 

 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com