Economies

บาทแข็ง เปิดเช้านี้ที่ 36.33 บาทต่อดอลลาร์ ฟันด์โฟลว์ยังคงไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง
30 ส.ค. 2565

Krungthai Global Market มองการอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มจำกัดลง และน่าจะไม่หลุด 36.50 บาทต่อดอลลาร์ รอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.33 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.41 บาทต่อดอลลาร์
 

คุณพูน พาณิชพิบูล นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai Global Market ธนาคารกรุงไทย ประเมินกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.25-36.45 บาท/ดอลลาร์ โดยมองแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบกว้าง และยังมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าลงได้บ้าง หากเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ดี มองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มจำกัดลง และคาดว่าเงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญแถว 36.50 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ง่าย 


นอกจากนี้ เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่ได้เร่งรีบเทขายสินทรัพย์ไทย ดังจะเห็นได้จากฟันด์โฟลว์ในวันก่อนหน้าที่ยังคงไหลเข้าสุทธิ (นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นสุทธิ -107 ล้านบาท และซื้อสุทธิบอนด์ 542 ล้านบาท) และเรามองว่า การปรับตัวลดลงของหุ้นไทยอาจเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยในจังหวะย่อตัวลงได้
 

อนึ่งในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงและมีหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะแนวโน้มนโยบายการเงินเฟด เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
 

สำหรับตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงและผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยงที่อ่อนไหวต่อการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย/บอนด์ยีลด์ อย่าง หุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Meta -1.6%, Apple -1.4%) ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ (ล่าสุดตลาดมองโอกาสราว 72.5% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนกันยายน) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +2.3%, Chevron +0.8%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า กลุ่ม OPEC+ อาจตัดสินใจลดกำลังการผลิตลงได้ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -1.02% ส่วนดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปิดตลาด -0.67%
 

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงกว่า -0.81% ท่ามกลางแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอย นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มเทคฯ (ASML -3.5%, Adyen -1.7%) หลังตลาดเริ่มมมองว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยราว 0.75% ได้ในการประชุมเดือนกันยายน เพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ
  

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 108.6 จุด แม้ว่าตลาดจะยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงและผู้เล่นบางส่วนอาจคงสถานะการถือครองเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทว่า เงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) สู่ระดับ 1.00 ดอลลาร์ต่อยูโร หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB อาจเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง 


นอกจากนี้ เงินยูโรยังได้แรงหนุนจากความเสี่ยงวิกฤติพลังงานในยุโรปที่คลี่คลายลงไปบ้าง หลังทางการเยอรมนีประเมินว่า ราคาแก๊สธรรมชาติอาจปรับตัวลดลงได้ เนื่องจากเยอรมนีมีแนวโน้มที่จะสำรองแก๊สธรรมชาติได้ตามแผนเร็วขึ้น ทั้งนี้ การย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นและแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,752 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังคงถูกกดดันด้วยแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทำให้เราคงมองว่า ราคาทองคำจะยังคงแกว่งตัว sideways ในกรอบต่อ
 

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board (Consumer Confidence) ซึ่งตลาดประเมินว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาจปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 97.7 จุด ในเดือนสิงหาคม ตามการปรับตัวลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งช่วยหนุนให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ กล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น นอกจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯและทิศทางนโยบายการเงินของเฟด 


 

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com