ธปท. ผนึกกําลังสถาบันการเงินผลักดันการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ประเดิมมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม เริ่ม 1 ม.ค. 67 และมาตรการแก้หนี้เรื้อรัง เริ่ม 1 เม.ย. 67
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ไปเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 เพื่อยกระดับมาตรฐานธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ตลอดวงจรหนี้ โดยมาตรการที่จะ เร่งบังคับใช้ก่อน คือ การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending) ที่รวมถึง การดูแลหนี้เรื้อรัง (persistent debt) และอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการดูแลหนี้ครัวเรือนเพิ่มเติม ควบคู่ไปด้วย ได้แก่ การทดสอบโครงการ Sandbox ในการกําหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้(risk-based pricing: RBP) และการกําหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (debt service ratio: DSR) นั้น
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า “ธปท. ในฐานะ ผู้กํากับดูแลให้ความสําคัญกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่องโดยขณะนี้ทเี่ศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนขึ้น จึงเหมาะสมที่จะมีมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างตรงจุดและยั่งยืน โดยดูแล (1) หนี้เสีย ให้สามารถ แก้ไขได้ (2) หนี้เรื้อรัง ให้มีทางเลือกปิดจบหนี้ได้ (3) หนี้ใหม่ ให้มีคุณภาพ ไม่กลายเป็นปัญหาในอนาคต และ (4) หนี้นอกระบบ ให้มีโอกาสมากขึ้นที่จะเข้ามากู้ในระบบได้ โดยเกณฑ์ responsible lending จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เว้นแต่ส่วนของการดูแลหนี้เรื้อรังที่จะเริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในการจัดทํามาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ธปท. ได้หารือกับภาคส่วนต่างๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศลูกหนี้และเจ้าหนี้เพื่อออกแบบมาตรการทสี่ามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ถูกหลักการ และครบวงจร ซึ่งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้สําเร็จและยั่งยืน จําเป็นต้องอาศัย ความตั้งใจจริงของทุกหน่วยงานในการร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินการต่าง ๆ ให้เห็นผล เพื่อร่วมกันสร้างจุด เปลี่ยนสําคัญในการปรับพฤติกรรมของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างยั่งยืนต่อไป”
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า “สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก ตระหนักถึงความสําคัญของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย และได้บรรจุในแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ของสมาคม ธนาคารไทย ตั้งแต่ปี 2565 และได้ให้ความร่วมมือกับ ธปท. ในการผลักดันมาตรการต่าง ๆ มาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทั้งการเสริมสภาพคล่องแก่ลูกหนี้ผ่านมาตรการ Soft Loan และสินเชื่อฟื้นฟูการแก้หนี้เดิมผ่านมาตรการปูพรมในช่วงแรก และมาตรการเฉพาะจุดตามแนวทางการแก้หนี้ระยะยาวและ โครงการพักทรัพย์พักหนี้ โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2566 มีลูกหนี้ที่ยังอยู่ภายใต้การช่วยเหลือของธนาคารพาณิชย์ จํานวน 2 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 1.88 ล้านล้านบาท จากยอดหนี้ที่เคยสูงสุด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 จํานวน 6.12 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 4.2 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารสมาชิกฯยังร่วมกิจกรรม ช่วยเหลือลูกหนี้อื่น ๆ รวมไปถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารได้ออกมาเพื่อประคับประคองลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ของตนเอง แบบตรงจุด ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกพร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนตามแนว responsible lending โดยการจัดการปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นส่วนหนึ่ง ของแผนยุทธศาสตร์ของสมาคมธนาคารไทยด้านความยั่งยืน (sustainability) ตามหลักการ 5 ข้อ ได้แก่
(1) การมีความรู้ความเข้าใจในการกู้ยืม (healthy borrowing) ให้ข้อมูลเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมลูกหนี้ให้มี วินัยทางการเงิน และใช้สินเชื่อที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ (2) การแข่งขันแบบเสรีไม่ผูกขาด (open competition) ลูกหนี้ใช้บริการสินเชื่อและเปิดเผยข้อมูลโดยสมัครใจ (3) ความโปร่งใสและเท่าเทียมระหว่าง ผู้ให้สินเชื่อ (level playing) ทุกกลุ่มเจ้าหนี้ทั้งธนาคารNon-bank และสหกรณ์อยู่บนกฎกติกาที่เท่าเทียมกัน (4) ความยุติธรรม (fairness) อัตราดอกเบี้ยต้องสะท้อนความเสี่ยงที่เป็นจริง ลดภาระลูกหนี้ดีที่ต้อง แบกภาระลูกหนี้ที่ไม่ดี (5) ความครอบคลุมและเข้าถึง (inclusion) สามารถนําข้อมูลทางเลือกมาส่งเสริม การเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ทุกฝ่ายมองเห็นประโยชน์ร่วมกันทั้งลูกหนี้ เจ้าหนี้ ผู้กํากับและรัฐ ไม่ทําให้ใครต้อง ตกไปอยู่นอกระบบจากมาตรการที่นํามาใช้ และทุกภาคส่วนร่วมแชร์ความเสี่ยงอย่างเป็นธรรมในการแก้ปัญหาหนี้
ทั้งนี้ เพื่อให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีประสิทธิภาพ จะต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้าหนี้ทุกกลุ่ม และ การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบตามความจําเป็นและตามกําลังของลูกหนี้ที่จะสามารถแบกภาระหนี้นั้นได้อย่าง โปร่งใส โดยลูกหนี้ต้องให้ความร่วมมือด้วยการรักษาวินัยทางการเงิน ก่อหนี้เฉพาะที่จําเป็นอย่างมี วัตถุประสงค์ มีการวางแผนที่ดี เข้าใจผลที่ตามมาของการเป็นหนี้ และมีความตั้งใจที่จะจ่ายคืนหนี้ หากทั้ง สองฝ่ายร่วมกันเชื่อว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
นายวิทัย รัตนากร ประธานสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ กล่าวว่า “เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของ สถาบันการเงินของรัฐส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายย่อยที่มีความเปราะบาง เช่น กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและเกษตรกรที่มี รายได้ค่อนข้างน้อยและมีความไม่แน่นอนสูง มีกันชนทางการเงินจํากัด และกลุ่มข้าราชการที่แม้มีรายได้ มั่นคงแต่ค่อนข้างน้อย อาจไม่เพียงพอรองรับภาระทางการเงินที่ต้องดูแลครอบครัว ในช่วงที่ผ่านมา สมาคม สถาบันการเงินของรัฐและสถาบันการเงินสมาชิกได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเต็มที่ ทั้งการแก้หนี้เดิมและ เสริมสภาพคล่องผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการสินเชื่อสู้ภัยโควิดของธนาคารออมสิน มาตรการขยาย ระยะเวลาชําระเงินต้นและดอกเบี้ยของหลาย ๆ สถาบันการเงินของรัฐ ตลอดจนการให้ความรู้ เสริมทักษะ ท้ังทางการเงินและอาชีพ เพื่อให้ลูกค้ารายย่อยดังกล่าวผ่านช่วงวิกฤตไปได้
ดังนั้น สมาคมสถาบันการเงินของรัฐจึงพร้อมสนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในครั้งนี้ โดยเฉพาะมาตรการแก้ปัญหาหนี้เรื้อรังที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อโดยการลดอัตราดอกเบี้ยที่สูง เกินไปลงมาเหลือเพียงไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี จะช่วยให้ลูกหนี้จ่ายเงินต้นได้มากขึ้น และมีโอกาสสูงขึ้นใน
การปิดจบหนี้ได้โดยเร็ว ซึ่งเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารออมสินในการสร้างแหล่งทุน ดอกเบี้ยต่ําและเป็นธรรมที่ได้ดําเนินการอยู่ในช่วงเวลานี้
อย่างไรก็ตาม การจะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนได้นั้น ต้องดําเนินการควบคู่กับการสร้าง งานสร้างอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ และการส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชน ซึ่งทั้งหมด นี้เป็นเรื่องที่อยู่ในพันธกิจของสมาคมสถาบันการเงินของรัฐและสถาบันการเงินสมาชิกที่ได้ดําเนินการมาแล้ว และต้องดําเนินการต่อไป”
นายอธิป ศิลป์พจีการ รองประธานชมรมสินเชื่อส่วนบุคคล กล่าวว่า “ลูกค้าส่วนใหญ่ของ ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) เป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยและเปราะบางกว่าลูกค้า ของธนาคารพาณิชย์ เช่น พนักงานบริษัทหรือพนักงานในโรงงานที่มีเงินเดือนประจําค่อนข้างต่ํา หรือพ่อค้า แม่ค้าขายของที่มีหลักฐานทางการเงินจํากัดและต้องใช้ข้อมูลทางเลือกในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ โดย ในช่วงที่ผ่านมาNon-bank ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการ ธปท. อย่างเต็มที่
ด้วยลักษณะเฉพาะของลูกหนี้กลุ่มนี้ ที่มีความสามารถในการผ่อนชําระต่อเดือนค่อนข้างจํากัด ทําให้ สินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหมุนเวียนเป็นสินเชื่อที่เหมาะกับความต้องการ แต่ด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบ ในระยะยาวของการผ่อนชําระขั้นต่ําที่จํากัด ทําให้ลูกหนี้กลุ่มนี้เป็นหนี้เรื้อรังค่อนข้างสูง ชมรมสินเชื่อส่วน บุคคลและบริษัทสมาชิก เห็นถึงความจําเป็นและพร้อมนําเสนอทางเลือกเพื่อช่วยเหลือให้ลูกหนี้ที่มีความ ตั้งใจสามารถปิดจบหนี้ โดยเริ่มจากลูกค้าที่มีรายได้ต่ํากว่า 10,000 บาทต่อเดือน และสนับสนุนให้เกิดการ เสริมความรู้พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสร้างวินัยทางการเงินที่ดีควบคู่กันไป”
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ส่วนของหนี้เกษตรที่เป็นปัญหาสะสมมาต่อเนื่อง ในช่วงที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ออกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือ เกษตรกรไทย แต่ด้วยปัญหาทางด้านรายได้ส่งผลต่อการชําระหนี้ของเกษตรกรไทย โดยเฉพาะปัญหาหนี้ เรื้อรังที่แม้จะเป็นสินเชื่อที่มีงวดจ่ายชําระชัดเจน (term loan) แต่การพักชําระเงินต้นเพื่อช่วยเหลือ เกษตรกรที่ผลผลิตได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกในช่วงท่ีผ่านมา ทําให้ลูกหนี้เกษตรกรจ่ายชําระเฉพาะดอกเบี้ยและไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้นเพื่อปิดจบหนี้ได้ โดย ธ.ก.ส. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการนําข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อแยกแยะกลุ่มหนี้ และจะมีแนวทางดูแลหนี้เกษตรกรที่สอดคล้องกับศักยภาพของ เกษตรกรแต่ละกลุ่ม
"โดยจะให้ความสําคัญกับทั้งกลุ่มเกษตรกรที่ยังพอมีศักยภาพ เช่น มีแนวทางในการปรับ โครงสร้างหนี้ให้ตรงกับศักยภาพครัวเรือนมากขึ้น จูงใจเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมให้เกษตรกรชําระหนี้ได้มากขึ้นและ บ่อยขึ้น สําหรับกลุ่มเกษตรกรที่เป็นหนี้เรื้อรังและสูงอายุ ธ.ก.ส. ได้จัดทํา“โครงการสินเชื่อแทนคุณ” เพื่อจูงใจให้ทายาทมารับภาระหนี้ต่อและเป็นการรักษาทรัพย์สินให้คงอยู่กับครอบครัว และมาตรการลด ภาระหนี้และดอกเบี้ยในรูปแบบต่างๆ เพื่อช่วยให้เกษตรกรกลุ่มนี้สามารถปิดจบหน้ีได้" นายฉัตรชัยกล่าว
ธปท. สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และชมรมสินเชื่อส่วนบุคคลมีเจตนารมณ์ ร่วมกันในการผลักดันมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ด้วยมุ่งหวังว่ามาตรการนี้จะช่วยยกระดับ มาตรฐานธุรกิจการให้สินเช่ือแก่ลูกหนี้ ช่วยแก้ปัญหาหนี้เดิม ดูแลหนี้ใหม่ และทําให้หนี้ครัวเรือนไทยลดลง สู่ระดับที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานพร้อมที่จะร่วมมือกับภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ร่วมกันอย่าง บูรณาการต่อไป