เมย์แบงก์ ส่งสัญญาณทิศทางการลงทุนทรงตัว ทั้งดอกเบี้ยที่ใกล้พีค จีนเปิดประเทศและเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยว พร้อมแนะนำนักลงทุนเน้นธีมคุณภาพ และแบ่งสัดส่วนลงทุนครึ่งหนึ่งไปที่ตราสารหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูง และกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่มีคุณภาพและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
คาร์เรน ชาง Head of Asia ex Japan Client Solutions แห่ง BNY Mellon ในฐานะดูแลนักลงทุนทั่วโลกในมูลค่าสินทรัพย์กว่า 2.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐในมือ กล่าวถึงสถานการณ์การลงทุนในปีนี้ยังทรงตัว โดยคาดการณ์ว่า แนวทางการขึ้นดอกเบี้ยของFED น่าจะใกล้หยุดแล้ว และยังพบว่าที่ผ่านมานักลงทุนหันมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้นและได้กำไรจากการลงทุน ส่วนภาพรวมของการลงทุนในหุ้นไม่เปลี่ยนแปลงมากนักโดยปรับฐานอยู่ในทิศทางเดียวกันในหลายประเทศในโลก ในขณะที่การลงทุนในค่าเงินนั้น พบว่าส่วนต่างของสกุลเงินต่างๆ มีความใกล้เคียงกัน แต่พบว่าสกุลเงินยุโรปถูกกว่า จึงทำให้เห็นโอกาสลงทุนมากกว่า
สำหรับความเสี่ยงหรือปัจจัยที่อาจกระทบกับการลงทุนนั้น ผู้เชี่ยวชาญจาก BNY Mellon เผยว่าปัจจัยภายนอกในต่างประเทศ อย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาจมีผลอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าและรับมือได้อยู่แล้ว แต่อยากให้นักลงทุนจับตาการประกาศอัตราเงินเฟ้อของ FED ตลอดจนคว้าโอกาสจากตลาดจีนซึ่งเชื่อว่าเมื่อจีนเปิดประเทศ จะมีอิทธิพลและเอื้อประโยชน์ต่อเอเชียทั้งหมด ซึ่งพิจารณาได้จากการปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่ออกเดินทางนอกประเทศมากขึ้น ตลอดจนพฤติกรรมคนจีนมีเงินออมสูง จึงมีกำลังซื้อสูงด้วยเช่นกัน บวกกับการสานต่ออำนาจบริหารประเทศของสีจิ้นผิง ทำให้นโยบายต่างๆ ของจีนจะมีความต่อเนื่อง เกิดเสถียรภาพในการลงทุน
ส่วนข้อแนะนำสำหรับนักลงทุนนั้น คาร์เรน ชาง เชื่อว่านักลงทุนจะมีโอกาสทำกำไรจากสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย หรือการลงทุนแบบไม่เสี่ยงมากนัก อย่าง Fixed Income ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ยกตัวอย่าง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยแนะนำนักลงทุนควรถือครองในระยะยาวเพื่อกระจายความเสี่ยงตลอดจนหุ้นมี Quality Growth หรือเป็นบริษัทใหญ่ที่มีคุณภาพ สถานะการเงินที่แข็งแรง และยังมีความสามารถในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพวกกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Tech) แต่ไม่แนะนำหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร เพราะมีความเสี่ยงสูงเกินไป
โดยแนะนำสัดส่วนในการลงทุนที่เหมาะสมนั้นควรอยู่ที่ Fixed Income 50-60 % และหุ้น 40-50% ซึ่งควรบริหารพอร์ตด้วยการใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดพร้อมเฝ้าระวังและคอยอัพเดทสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด (Event Risk) เพื่อปรับเปลี่ยนพอร์ตของนักลงทุนให้เหมาะสม
ด้านการลงทุนต่างประเทศนั้น กูรูจากบีเอ็นวาย เมลลอน มองว่าตลาดสหรัฐและญี่ปุ่น มีความน่าสนใจ แต่ไม่แนะนำให้พิจารณาที่ประเทศเท่านั้น เพราะนักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนจาก Core Business เป็นหลักมากกว่า ส่วนตลาดยุโรปยังมีความผันผวนโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารยุโรปที่ไม่แข็งแรงเท่าใดนัก ตลอดจนนโยบายและกฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่เอื้อให้นักลงทุนมั่นใจ
กรณีการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก อาทิ การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ยังมีความผันผวนและกฎหมายไม่แน่นอน ไม่มีงบกระแสเงินสดให้วิเคราะห์อย่างชัดเจน แต่ก็ยังสามารถลงทุนได้ในสัดส่วนที่ไม่มากนัก ส่วนการลงทุนในทองคำอาจจะช่วยกระจายความเสี่ยงได้ ในขณะเดียวกันการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นนักลงทุนจำเป็นต้องทำความเข้าใจในเงื่อนไขและตัวแปรต่างๆพร้อมพิจารณาจากระยะเวลาในการถือครอง และเป้าหมายทางการเงินของตัวเองตลอดจนรับมือกับมุมมองทางการเงินอย่างรอบด้านด้วย
อภิญญา องค์คุณารักษ์ CFA CAIA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมย์แบงก์และ บีเอ็นวาย เมลลอน พร้อมใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนไทย เลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ทั้งหุ้น และตราสารหนี้ บนพื้นฐานความเสี่ยงที่รับได้และให้เป็นไปตามเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งการจับมือกันนอกจากจะเสิร์ฟลูกค้าได้อย่างตรงจุด และช่วยแนะนำแผนการลงทุนที่หลากหลายให้กับลูกค้านักลงทุนแล้ว ยังช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของเมย์แบงก์ในการเป็น Investment Firm ที่สามารถตอบโจทย์ครบจบในที่เดียว รวมถึงการให้บริการบริหารกองทุนส่วนบุคคล หรือ Private Fund ภายในสิ้นปี2566 อีกด้วย