3 หน่วยงานใหญ่ "ออมสิน-บางจาก-ทิพย กรุ๊ป" ร่วมลงขัน 1 พันล้านบาท จัดตั้ง"บ. มีที่ มีเงิน จำกัด" รุกธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ชูดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด คาดปล่อยกู้เฉลี่ย 5 ล้านบาท ผ่อนนาน 3-10 ปี จ่อเปิดบริการไตรมาส 3 นี้ ตั้งเป้าปล่อยกู่ 1-2 หมื่นล้านบาท เสริมสภาพคล่องเอสเอ็มอี-ประชาชนรายย่อย พร้อมเดินหน้าแผนต่อไป ลุยสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 66
วันนี้ (9 มิถุนายน 2565) ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการทำธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ระหว่าง 3 องค์กรที่ร่วมทุนกันจัดตั้งบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ตั้งเป้าช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนทั่วไป ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนถูกลง และมีเงื่อนไขการกู้ที่เป็นธรรม โดยมีผู้ร่วมลงนาม คือ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
นายวิทัย กล่าวว่า บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท โดยการร่วมทุนของธนาคารออมสิน ในสัดส่วนหุ้น 49% กับ บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ สัดส่วน 31% และ กลุ่มบมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น สัดส่วน 20% โดยธนาคารออมสินทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อ ประสานพลังความร่วมมือพร้อมให้บริการผ่านจุดบริการของทั้ง 3 ฝ่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนรายย่อย ช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบ และสร้างการแข่งขันที่สมบูรณ์ในตลาดสินเชื่อที่ดินและขายฝาก
ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจัดตั้งบริษัทฯ แล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 3 เปิดตัวด้วยสินเชื่อที่ดิน อัตราดอกเบี้ย 7-9% ในระยะแรก ส่วนวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 70% ของมูลค่าหลักประกันตามราคาประเมินของกรมธนารักษ์ หรือไม่เกิน 50%ของที่ประเมินตามราคาตลาด โดยเฉลี่ยลูกค้าที่มาขอสินเชื่ออยู่ที่ 5 ล้านบาท ระยะเวลาการผ่อนชำระ 3-10 ปี
นายวิทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯจะเน้นออกผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถทำได้ และหลังจากเปิดให้บริการสินเชื่อที่ดนแล้ว บริษัทฯจะขยายผลไปทำธุรกิจขายฝากภายในสิ้นปี 2565 ก่อนจะยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Non-Bank ในปี 2566 เพื่อทำธุรกิจสินเชื่อบุคคลต่อไป โดยตั้งเป้าปีแรกสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 10,000 -20,000 ล้านบาท ด้วยจุดแข็งด้านฐานลูกค้าของธนาคารออมสินจำนวนมาก และมีจุดบริการครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งสาขาของธนาคารออมสิน และทิพย กรุ๊ป รวมถึงจุดให้บริการน้ำมันบางจาก รวมกันกว่า 2,300 แห่งทั่วประเทศ
"จากความตั้งใจเริ่มต้นที่ออมสินมุ่งสร้างการเข้าถึงแหล่งทุนด้วยต้นทุนดอกเบี้ยที่ไม่สูงเกินจริง ซึ่งประสบความสำเร็จจากการปล่อยสินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน ที่เปิดให้กู้ครั้งแรกเมื่อตุลาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือ SMEs และประชาชนที่ขาดสภาพคล่องจากวิกฤติโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงสูญเสียที่ดินติดสัญญาขายฝากอย่างไม่เป็นธรรม โดยผ่อนปรนให้ลูกค้าใช้ที่ดินเป็นหลักประกันการกู้ในระยะเวลา 2 ปี สามารถปล่อยสินเชื่อแล้วกว่า 21,000 ล้านบาท จึงเกิดแนวคิดจัดตั้งบริษัทเข้าทำธุรกิจแข่งขันในตลาดสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ช่วยลดโครงสร้างดอกเบี้ยซึ่งสูงเกินความเป็นจริง ปัจจุบันดอกเบี้ยกู้ที่นอนแบงก์ปล่อยสูงถึง 20-30% เทียบกับเพดานดอกเบี้ยที่ 15% เราจึงต้องการให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากสินเชื่อที่มีต้นทุนถูกลงและมีเงื่อนไขที่เป็นธรรม เราพร้อมรบเต็มที่กับสนามนี้ด้วยดอกเบี้ยต่ำกว่า" นายวิทัยกล่าว
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ธนาคารออมสิน ได้เข้ามาตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ด้วยดอกเบี้ย 17-18% ต่ำกว่าตลาดที่สูง 28% ซึ่งลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สามารถมาใช้สินเชื่อดังกล่าวได้
ด้าน ดร. สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ TIPH กล่าวว่า การเข้ามาดำเนินธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ผ่านบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ประชาชนที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพด้วยดอกเบี้ยที่มีความเป็นธรรม ซึ่งเงินกู้ที่ใช้ที่ดินค้ำประกัน ในเบื้องต้นอาจจะคิดดอกเบี้ยกู้ไม่เกิน 10% จากตลาดจะคิดอัตราดอกเบี้ย 18-22% ส่วนธุรกิจขายฝากที่ดิน ตั้งเป้าจะคิดดอกเบี้ยไม่เกิน 7-8% จากตลาดคิดอัตรา 15% ส่วนสินเชื่อบุคคลคิดอัตราดอกเบี้ย 20% จากตลาดอยู่ที่ 36% ซึ่งการร่วมลงทุนบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัดในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งครั้งที่ ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และบริษัทในเครือ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด
นอกจากนี้ การร่วมทุนดังกล่าวยังสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์การลงทุนของบมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ที่ต้องการขยายการลงทุนไปในธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากธุรกิจประกันภัยในฐานะธุรกิจหลักของบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์ของธุรกิจในโลกอนาคต เนื่องจากการดำเนินธุรกิจของบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ถือเป็นนวัตกรรมทางการเงินใหม่สำหรับธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นอนแบงก์) ที่จะเข้ามาช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
"ในตลาดกำไรของธุรกิจสินเชื่อดังกล่าวราว 10% หากเราทำมาร์จิ้นได้ราว 7-8% สำหรับธุรกิจประกันภัยถือว่าดีกว่าไปลงทุนอย่างอื่น ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังจะต้องสร้างกำไรมหาศาล เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือประชาชนมากกว่า " ดร. สมพร กล่าว
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจาก กล่าวว่า การร่วมทุนในนวัตกรรมทางการเงินอย่างธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ผ่านบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ในครั้งนี้ จะมอบโอกาสใหม่ให้กับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรและลูกค้าบางจาก ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและต้นทุนสินเชื่อที่เป็นธรรม สำหรับเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินที่จำเป็นต่อการบริโภคหรือการดำเนินธุรกิจ บรรเทาปัญหาภาระหนี้สินและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและประชาชนรายย่อยได้อีกทางหนึ่ง สอดคล้องตามความมุ่งมั่นของกลุ่มบางจาก ที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างยั่งยืนไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมมาโดยตลอด