Economies

KTAM แนะเสริมพอร์ตด้วยตราสารหนี้ระยะสั้นกับกองทุน  “KTSTPLUS  รับดอกเบี้ยอยู่ในช่วงปรับสูงขึ้น
15 พ.ค. 2566

KTAM  ชี้โอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น จากอานิสงค์การปรับขึ้นดอกเบี้ยกำลังเข้าใกล้ระดับสูงสุด ปัจจัยที่เอื้อการลงทุนในตราสารหนี้  สัญญาณที่เงินเฟ้อไทยกำลังปรับลดลงสู่กรอบนโยบาย และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณถดถอย/ชะลอตัวมาก จึงแนะนำเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้  ชูกองทุนเปิด KTPLUS เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนจากตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ

 

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2565  เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยต่างเผชิญภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นมากจากหลายปัจจัย กดดันให้ธนาคารประเทศต่างๆนำโดยสหรัฐฯ และยุโรป เร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างมากและต่อเนื่องเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประเทศต่างๆ รวมทั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ต้องเริ่มปรับดอกเบี้ยขึ้นตามตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 จากระดับต่ำสุดที่ 0.50% ต่อปี เพิ่มขึ้นมาถึง 1.75% ต่อปี และมุมมองตลาดตราสารหนี้ระยะถัดไป คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจจะปรับเพิ่มสูงสุดที่ 2.00% ต่อปี เพื่อสอดรับกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อไทยที่กำลังลดลง (Dis-inflation) เข้าสู่กรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศ รวมถึงความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่สัญญาณจะเข้าสู่ภาวะถดถอยและชะลอตัวลงมาก จะเป็นปัจจัยให้วงจรดอกเบี้ยถึงระดับสูงสุดในอนาคตอันใกล้และมีโอกาสปรับสู่ขาลงในระยะถัดไป ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวนับว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยโดยตรง

 

สำหรับกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น พลัส (KTPLUS) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 4) มีนโยบายกระจายลงทุนในพันธบัตรภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้เฉลี่ยอายุตราสารไม่เกิน 1 ปี และเงินฝากสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยง(Hedging) จากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

 

กองทุน KTSTPLUS เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตการลงทุน และสามารถปรับให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ค่อนข้างเร็ว โดยมีอายุเฉลี่ยตราสารของกองทุนค่อนข้างต่ำเพื่อเตรียมพร้อมรับการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเมื่อรอบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นสุดลง กองทุนก็จะสามารถปรับไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ยาวขึ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทนกองทุนได้ ทั้งนี้ ได้เปิดให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน 4 ชนิด ได้แก่ 1) ชนิดสะสมมูลค่า (KTSTPLUS-A)  2) ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล (KTSTPLUS-P) 3) ชนิดผู้ลงทุนสถาบัน (KTSTPLUS-I)  และ 4) ชนิดเพื่อการออม (KTSTPLUS-SSF)

 

นางชวินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่เป็นตัวช่วยสนับสนุนให้กองทุน KTSTPLUS มีโอกาสเติบโต มาจากการที่กองทุนมีความเสี่ยงจากความผันผวนของผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ โดยมีการควบคุมอายุเฉลี่ยเงินลงทุนไว้ไม่เกิน 1 ปี เมื่อวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จะถึงระดับสูงสุด ทำให้ความผันผวนของผลตอบแทนจะไม่สูงเหมือนปีก่อนหน้าที่อยู่ในช่วงการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. ประกอบกับกองทุนมีการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต ทำให้มีความเสี่ยงด้านเครดิตค่อนข้างต่ำ รวมถึงข้อได้เปรียบจากขนาด จึงทำให้มีโอกาสเข้าถึงตราสารหนี้ในตลาดแรกทั้งในและต่างประเทศในระดับอัตราผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล สอดคล้องกับภาวะตลาด นอกจากนี้ กองทุนมุ่งเน้นรักษาความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ต กระจายลงทุน และมีบริหารสภาพคล่องให้เหมาะสม 

 

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากสงครามระหว่างประเทศ และความผันผวนของราคาน้ำมันอาจส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจและเงินเฟ้อผิดไปจากการคาดการณ์ รวมถึงความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อของไทยหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเต็มที่ อาจจะทำให้กนง.ตัดสินปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ได้

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com