Economies

ttb คาดปี 65-67 เม็ดเงินลงทุนโดยตรง แตะ 4-5 แสนล้านต่อปี
9 มิ.ย. 2565

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีโอกาสแตะ 4-5 แสนล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2565-2567

การลงทุน FDI ทั่วโลกในปี 2564 มีมูลค่า 1.65 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีมูลค่าการลงทุน 9.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และสูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2562 โดยไทยมี FDI อยู่ที่ระดับ 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในช่วงปี 2552-2562 หรือ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระดับเฉลี่ย 2.82 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 2.2 ของ GDP หากไม่นับการลงทุนในกิจกรรมทางการเงิน กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศอยู่ในระดับเฉลี่ย 2.14 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งพบว่าอุตสาหกรรมการลงทุนส่วนใหญ่เป็นคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เครื่องมือเครื่องจักร ยานยนต์และอาหาร

สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2563 ภาพรวมตัวเลข FDI ของไทยติดลบ 1.40 แสนล้านบาท แต่ในปี 2564 FDI สามารถเพิ่มขึ้นเป็น 3.67 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัว FDI ของโลก โดยมีการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์  อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และการผลิตยานยนต์

ปัจจัยหนุนสำคัญ คือ การได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วยสิทธิประโยชน์จูงใจ โดยเฉพาะด้านภาษี พื้นที่ตั้ง และการอำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนในด้านต่าง ๆ โดยปี 2564 ยอดขอ BOI ของการลงทุนต่างชาติได้ปรับสูงขึ้นเป็น 4.55 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 อยู่ที่ 5.06 แสนล้านบาท 


เมื่อดูในรายละเอียดพบว่าการขอ BOI ของกิจการในกลุ่ม New S-Curve หรือ BCG ซึ่งครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ ในปี 2564 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.52 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 123 เมื่อเทียบกับปี 2563 ทำให้มูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG ตั้งแต่ปี 2558-2564 อยู่ที่ 6.8 แสนล้านบาท
 
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2565 ยอดขอรับการส่งเสริมของโครงการต่างชาติจาก BOI อยู่ที่ 7.73 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติยังคงมองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นการลงทุนในไทย โดยอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติมีการขอ BOI อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีและชีวภาพ การเกษตรและแปรรูปอาหาร โดยเป็นการลงทุนจากนักลงทุนไต้หวัน (โรงงานผลิตรถยนต์) ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ รวมแล้วกว่าร้อยละ 83


แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัวแผ่วลง ซึ่งเป็นผลจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูง อย่างไรก็ดี  FDI เป็นการลงทุนระยะยาว ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกประเทศที่จะลงทุน จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเทรนด์การลงทุนของโลก และปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ

• ทิศทาง FDI โลก “China-Plus-One Strategy” ส่งสัญญาณกระจายการลงทุนจากจีนสู่ประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพ อาทิ อาเซียน เพื่อลดความเสี่ยงธุรกิจ โดยลดการพึ่งพาสินค้าหรือฐานการผลิตในจีนเพียงแหล่งเดียว ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย  จากความได้เปรียบในทางภูมิศาสตร์ และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี

• นักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่นการลงทุนในไทยติดอันดับต้นๆ ในกลุ่มอาเซียน สะท้อนจากดัชนีโอกาสการลงุทน GLOBAL OPPORTUNITY INDEX 2022 จัดทำโดย MILKEN INSTITUTE โดยไทยอยู่ในอันดับ 34  รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย 

• ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานใน EEC เช่น มีเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก มีจุดสนใจสำหรับการเข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยี มีศูนย์จีโนมิกซ์ เพื่อรองรับการลงทุนด้านรักษาพยาบาลและยา รวมทั้งมีการวางโครงข่ายเทคโนโลยี 5G ตลอดจนมีแผนการลงทุนต่อเนื่อง 2.2 ล้านล้านบาท ใน 5 ปี  โดยเน้นสนับสนุนลงทุนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบออโตเมชัน สุขภาพการแพทย์ การบิน โลจิสติกส์ 5G และ BCG

• การตกลงเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP  คาดว่าการเชื่อมโยง Value Chain ระหว่างประเทศสมาชิกจะทำให้ FDI มีโอกาสขยายตัวในภูมิภาคมากขึ้น และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่ของโลกเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ถือว่ามีการเติบโตสูง

• ต้นทุนพลังงานสูงขึ้นทั่วโลก นำไปสู่การใช้พลังงานทดแทน เป็นการสร้างโอกาสเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ที่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตร  หรือในกลุ่มพลังงานชีวมวล (Biomass Energy) ซึ่งไทยมีความพร้อมด้านวัตถุดิบ 

ขณะเดียวกันยังคงมีปัจจัยท้าทาย FDI ของไทย

• การแข่งขันดึงดูด FDI ในกลุ่มอาเซียนสูงขึ้น เช่น เวียดนาม มีจุดเด่นในด้านตลาดแรงงาน ทั้งจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวสะท้อนกำลังแรงงานและกำลังซื้อ และค่าแรงที่ค่อนข้างต่ำ 

• นักลงทุนต่างชาติมีการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนประเทศอื่นมากขึ้น เช่น นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงมีนโยบาย Thailand Plus One โดยลงทุนที่ไทยพร้อมๆ กับกระจายการลงทุนไปกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของไทย (CLMV) มากขึ้น ที่มีจุดเด่นปริมาณแรงงาน และทรัพยากรธรรมชาติ


จากปัจจัยบวกและความท้าทายข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงเส้นทางผลักดัน FDI ของไทยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยสร้างการลงทุนที่สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศ ดังนั้น การดึงดูดประเทศอื่นๆ ให้เข้าลงทุนในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพอยู่แล้ว เป็นจุดที่จะทำให้ FDI ของไทยเติบโตได้ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปในทิศทางอุตสาหกรรม New S-Curve หรือ  BCG  ซึ่งเป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  และจากการประเมินยอดขอรับการส่งเสริมจาก BOI ในปี 2562 เป็นต้นมา คาดว่ากระแสการลงทุนจากต่างประเทศมีความเป็นไปได้ที่เพิ่มขึ้นแตะ 4-5 แสนล้านบาท ได้ในช่วงปี 2565-2567 ซึ่งส่งผลดีต่อเนื่องไปยังธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งธุรกิจปลายน้ำ ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง เครื่องจักร ไปจนถึงการขนส่ง ในรูปของเม็ดเงินลงทุนและปริมาณสินค้าที่เกิดขึ้นในอนาคต

Copyrights © 2021 All Rights Reserved by Clubhoon.com